* ผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ของปี 2019 มีกำหนดประกาศให้ทราบในช่วงหลังปิดตลาดของวันที่ 8 สิงหาคม
* รายได้ที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ 3,310 ล้านเหรียญ
* กำไรต่อหุ้นที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ -$2.1
ตัวแปรสำคัญที่นักลงทุนในหุ้นของบริษัทผู้ให้บริการรถรับจ้างอย่าง Uber Technologies Inc (NYSE:UBER) สนใจที่จะเห็นมีเพียงยอดขายที่เติบโตขึ้นและตัวเลขการขาดทุนที่ลดน้อยลงเพียงเท่านั้นเอง แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน การที่จะทำให้ได้มาซึ่งตัวแปรทั้งคู่ในรายงาน ผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ที่จะประกาศออกมาในวันพรุ่งนี้นั้นอาจเป็นไปได้ค่อนข้างยาก
มาชา คาห์นและเฮนนิง คอสแมน สองนักวิเคราะห์จาก HSBC ได้เขียนไว้ในรายงานเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า มีการคาดการณ์กันไว้ว่าบริษัทจะประกาศตัวเลขที่ขาดทุนที่ระดับ $2.1 ต่อหุ้น โดยมียอดขายที่คาดการณ์อยู่ที่ 3,310 ล้านเหรียญซึ่งมีสถานการณ์ทางด้านการแข่งขันประกอบกับต้นทุนที่สูงขึ้นเป็นอุปสรรคต่อการทำกำไรของบริษัท Uber เป็นบริษัทที่เข้าสู่ตลาดเมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมายังคงไม่สามารถทำให้นักลงทุนพอใจในสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง รวมทั้งการที่ผู้บริโภคมีความอ่อนไหวกับราคาค่อนข้างมากเช่นนี้ได้
คู่แข่งสำคัญในอเมริกาเหนือของ Uber คือบริษัท Lyft (NASDAQ:LYFT) ซึ่งมักจะเสนอราคาค่าบริการที่ต่ำกว่า Uber อยู่ราว 20-25% ในนครนิวยอร์ค ในขณะที่บริการ Bolt ซึ่งมีบริษัท Daimler AG (OTC:DMLRY) เป็นผู้ให้การสนับสนุนอยู่นั้นก็ใช้กลยุทธ์นี้ในลอนดอนเช่นเดียวกัน
ราคาหุ้นของ Uber
สภาวะความแปรปรวนในอุตสาหกรรมนี้ทำให้หุ้นของ Uber ได้รับผลเสียค่อนข้างมาก โดยการซื้อขายหุ้นเริ่มแผ่วลงตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคมเป็นต้นมา มูลค่าหุ้นของ Uber ปรับตัวลดลงไป 16% จากราคาเสนอซื้อเดิมซึ่งเคยอยู่ที่ $45 เมื่อวานนี้หุ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นได้เล็กน้อยหลังจากที่ก่อนหน้านั้นมีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องถึง 6 วันติดต่อกัน โดยปิดตลาดในนิวยอร์คได้สูงขึ้น 0.3%ไปอยู่ที่ระดับ $39.15
หลังจากที่บริษัทสามารถเติบโตในปี 2017 ได้ถึง 95% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า รายได้ของบริษัทจากธุรกิจนี้ก็เริ่มลดลงค่อนข้างมากถึง 33% ในช่วงปีที่ผ่านมา Uber ต้องประสบภาวะขาดทุนจากการดำเนินงานจำนวน 3,040 ล้านเหรียญในปี 2018 โดยมีรายได้อยู่ที่ 11,300 ล้านเหรียญ จึงทำให้ตัวเลขที่ขาดทุนรวมตลอดสามปีสูงกว่า 10,000 ล้านเหรียญ
ตัวเลขที่ดูค่อนข้างแย่
ผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทที่ประกาศออกมาในเดือนพฤษภาคม Uber ก็มีแนวโน้มของการเจริญเติบโตแบบเดียวกันนี้เช่นกัน Uber ขาดทุนจากการดำเนินงาน 1,030 ล้านเหรียญ ซึ่งสูงกว่าที่เคยรายงานไว้เมื่อปีก่อนหน้าที่ 478 ล้านเหรียญ ในขณะที่การเติบโตของรายได้ยังลดต่ำลง โดยรายได้จากบริการรถรับ-ส่ง หลังหักค่าคอมมิชชันให้กับคนขับแล้วมีค่าอยู่ที่ 2,620 ล้านเหรียญ ซึ่งสูงขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แตกต่างจากไตรมาสเดียวกันเมื่อปีแล้วซึ่งมีรายได้ในส่วนนี้สูงขึ้นราว 80%
เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวค่อนข้างดูแย่ นายดารา คอสโรว์ชาฮี ประธานกรรมการบริหารของ Uber จึงไม่ต้องการให้นักลงทุนใส่ใจกับตัวเลขในรายงานดังกล่าวนัก
เขากลับต้องการให้นักลงทุนให้ความสำคัญกับการพัฒนา “แพลตฟอร์ม” ของบริษัทมากกว่า ซึ่งเขาเคยกล่าวไว้ว่าระบบดังกล่าวจะเป็นระบบการขนส่งที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุด โดยหมายรวมไปถึงบริการรถรับ-ส่ง, ธุรกิจบริการส่งอาหาร Uber Eats, รถสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า, บริการขนส่งสิ่งของจำนวนมาก, รถยนต์ไร้คนขับ และแม้กระทั่งรถยนต์บินได้
ในช่วงประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกในเดือนพฤษภาคม เขาได้แสดงวิสัยทัศน์ในการเร่งการเจริญเติบของบริษัทด้วยการควบรวมบริการของ Uber เข้ากับบริการขนส่งสาธารณะ และเพิ่มยอดขายจากลูกค้าที่สนใจสั่งซื้ออาหารจากบริการ Uber Eats รวมทั้งลูกค้าที่อยากได้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าไว้ใช้เองด้วย เขากล่าวว่าลูกค้าที่ใช้บริการ Uber Eats ราวครึ่งหนึ่งยังไม่เคยใช้บริการรถรับ-ส่งของบริษัทเลย
วิสัยทัศน์ดังกล่าวฟังดูดีและมีความเป็นไปได้สูงสำหรับบริษัทเทคโนโลยีทางด้านการขนส่งที่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการขนส่งของผู้คนในยุคปัจจุบันรายนี้ แต่หลังจากที่มีการเปิด IPO Uber ก็ได้พยายามหาทางปรับปรุงธุรกิจหลักของตนเองอย่างรวดเร็วและแสดงให้นักลงทุนเห็นว่าบริษัทยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องตามแนวทางที่ตั้งไว้เพื่อปรับลดต้นทุนและเพิ่มยอดขายให้ได้มากที่สุด แต่ในปัจจุบันหนทางดังกล่าวนั้นน่าจะยังอีกยาวไกล
บทสรุป
ในสภาวะที่มีการแข่งขันและต้นทุนที่สูงขึ้นเช่นนี้ ความตื่นเต้นกับหุ้นของ Uber ดูเหมือนว่าจะมีมากไม่เท่าแต่ก่อน นักลงทุนควรถอยออกมาตั้งหลักเพื่อรอดูผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2019 อย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนในระยะยาวต่อไป