A bottom has been found
• Bottom out: เราประเมินว่ามีโอกาสสูงแล้ว ที่ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัว ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วที่ระดับ 1366 จุด ตามการปรับด้ว Peakout ของ Bond yield และเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่น่าจะเกิดขึ้นไปแล้วเช่นกัน ตอกย้ํา โดยตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯที่ออกมาอ่อนแอเมื่อคืนวันศุกร์ (รายละเอียด ด้านล่าง) ซึ่งน่าจะทําให้ Fed มีแนวโน้มยุติการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก ต่อไป ตามที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดหวังไว้
• Buy & Hold: แม้ว่าในระยะสั้น ดัชนี SET อาจจะยังมีการสร้างฐานอยู่แถว บริเวณ 1400 จุดบวกลบ แต่การปรับตัวที่น่าจะ Bottom out ไปแล้ว น่าจะ ทําให้กลยุทธ์การลงทุนต่อจากนี้เป็นไปโดยง่ายขึ้น โดยเฉพาะการ Buy & Hold ทั้งนี้หากเห็นดัชนี SET ลงไปต่ํากว่าระดับ 1410-1415 จุดอีก ครั้ง มองเป็น Safe Zone ที่น่าสนใจสําหรับการเข้าลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่ อาจจะยังไม่ได้เพิ่มน้ําหนักการลงทุนในช่วงที่ผ่านมามากนัก เนื่องจาก ระดับดังกล่าวถือเป็นระดับเทียบเท่าค่าเฉลี่ย PBV ณ จุดต่ําสุดของการปรับ ฐานในแต่ละรอบของ SET ในอดีต (1.39x) และยังเป็นระดับดัชนีที่ เหมาะสมในกรณีฐานจากวิธี PE Model ของเราอีกด้วย (12.5x Fwd PE)
• 1515: ในส่วนของ Potential upside ในช่วงถัดไป เรายังคงให้เป้าของ SET Index ที่ระดับ 1515 จุดตามเดิม อิงกรณีดีสุดตามวิธี PE Model ของเราที่กําาหนดกรอบ Fwd PE เอาไว้ที่ 13.4X อิงระดับ EPS ที่ 113 บาท ซึ่งต้องบอกว่าเป็นระดับที่ Stretch ในระดับหนึ่ง เนื่องจาก ณ วันนี้ ตัวเลข คาดการณ์ EPS ที่ 113 บาทนั้น ได้กลายมาเป็นตัวเลขคาดการณ์ของ ตลาด ณ ปี 2025 เรียบร้อยแล้ว
• Fund flow: มีสัญญาณที่ดีอีกครั้ง โดยเมื่อคืนวันศุกร์ ETF หุ้นไทยที่ซื้อ ขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ (THD) ปรับตัวสูงขึ้นอีก 3.0% ปรับตัว Outperform ดัชนีหลักอย่าง MSCI Thailand และถือเป็นการปรับตัวขึ้นวัน เตียวสูงสุดถัดจากวันก่อนอย่างต่อเนื่อง มองเป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นขนาด ใหญ่ต่อไป ซึ่งในส่วนของหุ้นที่มีนํ้าหนักมากสุดในดัชนีนี้ยังคงได้แก่ PTT (BK:PTT), CPALL (BK:CPALL), BDMS, AOT (BK:AOT), ADVANC un DELTA
• Bond-liked: สําหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจในภาวะที่ Bond yield ปรับตัว Peak out ไปแล้ว คงหนีไม่พ้นกลุ่มที่มีคุณสมบัติคล้ายพันธบัตรอย่าง REIT / IFF / Utilities โดยเฉพาะกลุ่ม Utilities อย่างโรงไฟฟ้านั้น เราได้ แสดงให้เห็นมาก่อนหน้านี้แล้วว่า Valuation ของหุ้นเหล่านี้อยู่ในโซนต่า มากเกินไปแล้ว เช่น BGRIM, GPSC
• Picks: ส่วนกลุ่มอื่นๆที่เราคาดว่าจะเห็นแรงเก็งกําไรระยะสั้นในตลาด ได้แก่
1) กลุ่ม Rate-sensitive อย่าง ไฟแนนซ์ ตาม Bond yield ที่ลดลง อาทิ SAWAD, MTC, TIDLOR
2) กลุ่ม ETRON ที่มีความสัมพันธ์เชิงราคาในระดับสูงกับทางดัชนี NASDAQ a DELTA, KCE, HANA
3) หุ้นที่เราคํานวณว่ามีโอกาสถูกคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี SET50 และ SET100 ในช่วงถัดไป ได้แก่ KCE, ITC, SISB, SAPPE, RBF, ICHI, MOSHI, TKN, THCOM, MAJOR
4) หุ้นในกลุ่มเรือ Container และ Logistics เช่น RCL, LEO, SONIC, WICE, III หลังค่าระวางเรือ Container ที่เซี่ยงไฮ้ปรับตัวสูงขึ้นท่า จุดสูงสุดใหม่ของปีนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (รูปที่ 1)
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities