ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน ในตลาดหุ้น .
เมื่อปีที่แล้ว หุ้นกลุ่มเทคบูมมาก ถ้ายกตัวอย่างดัชนี NASDAQ ลงไปต่ำสุดช่วง COVID เดือนมีนาคม ประมาณ 7,700 จุด พอเวลาผ่านไปไม่ถึงปี สามารถทำผลตอบแทนได้เป็น 100% ขึ้นมาที่ 14,000 จุด ตอนเดือนกุมภาพันธ์..
แต่พอเข้ามามีนาคม ก็ร่วงลงมาอีกที่ 12,000 ก่อนกลับขึ้นมาที่ระดับใกล้ๆ 14,000 จุดอีกรอบตอนเดือนเมษายนนี้เอง เรียกได้ว่า ถ้าเราจับจังหวะไม่ถูก หรือซื้อๆ ขายๆ โอกาสที่จะขาดทุนมีอยู่สูงมาก.
หรือแม้แต่หุ้นรายตัว TESLA, FACEBOOK, ZOOM
หรือหุ้นบ้านเราอย่าง DELTA ก็มีความผันผวนไม่แพ้กัน…
ถึงมีคำพูดที่บอกกันว่า "High Risk High Return" … ยิ่งเสี่ยงมาก โอกาสที่จะได้กำไรย่อมมีมาก..
แต่เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าวันพรุ่งนี้จะไม่หมดตัว!..
การลงทุนในโลกยุคนี้ ควรให้ความสำคัญกับการจัดสรรสินทรัพย์ให้มีการกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสม ไม่เพียงแต่กระจายไปในหุ้นหลายตัว แต่ควรกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ และหลากหลายสินทรัพย์ เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอน ลดความผันผวนของพอร์ต และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว.
=====================
.ทฤษฎี “Modern Portfolio Theory” เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้คุณกระจายความเสี่ยง และสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในระยะยาวได้ โดยใช้นำเสนอแนวทางเพิ่มผลตอบแทนให้สูงที่สุดในระดับความเสี่ยงที่น้อยที่สุด ผ่านการจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท (Asset Allocation) และกระจายความเสี่ยงในแต่ละสินทรัพย์ให้มาก (Diversification)..
Harry Markowitz นักเศรษฐศาสตร์ชาวสหรัฐฯ ได้นำเสนอ “Modern Portfolio Theory” หรือ MPT ขึ้นมา และได้รับรางวัลโนเบลจากงานวิจัยชิ้นนี้ในเวลาต่อมา..
หลักการสำคัญของ MPT คือ การที่นักลงทุนลดความเสี่ยงในการลงทุนด้วยการจัดพอร์ตโฟลิโอแบบกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยมี 3 ปัจจัยที่ต้องนำมาพิจารณา คือ...
Return คือ กำไรของสินทรัพย์แต่ละประเภทที่เราถือ
Standard deviation พูดให้ง่ายคือ ค่าที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงหรือความผันผวนของหุ้นหรือสินทรัพย์ที่เรามี
Correlation คือ ความสัมพันธ์ของสินทรัพย์ในพอร์ตของเรา เช่น ซื้อหุ้น 5 ตัว ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เวลาลงก็อาจจะลงหมด แต่ถ้าเรามีหุ้น Value และ Growth อยู่ในพอร์ต มันก็อาจจะไม่ลงพร้อมกัน.
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแบบง่ายๆ สมมติว่าเราคาดหวังผลตอบแทน 10% ต่อปี และแผนการลงทุนในหุ้น 2 ตัว.
หุ้น A ให้ผลตอบแทน 8% ความผันผวน 10% (กำไรน้อยกว่า แต่ก็ผันผวนน้อยกว่า)
หุ้น B ให้ผลตอบแทน 12% ความผันผวน 20% (กำไรมากกว่า แต่ก็ผันผวนมากกว่า)
และหุ้นทั้งสองตัวมีความสัมพันธ์ระหว่างกันที่ 1 (แปลว่า ถ้าหุ้น A ขึ้น หุ้น B ขึ้นด้วยในสัดส่วนเดียวกัน) …
สมมติว่า เรามีเงิน 100 บาท ถ้าลงทุนหุ้น A อย่างเดียวอาจจะได้ผลตอบแทน 8% ถ้าลงหุ้น B อย่างเดียวอาจจะได้ผลตอบแทน 12% แต่เนื่องจากหุ้นแต่ละตัวมีความผันผวนไม่เท่ากัน ทำให้ผลตอบแทนอาจเป็นได้ตั้งแต่ 0-12%..
วิธีการกระจายความเสี่ยงที่ให้ได้ผลตอบแทนที่คาดหวังคือ ลงทุนหุ้นทั้ง 2 ตัว ในน้ำหนักที่เท่ากัน จะได้ผลตอบแทน
(0.5 x8%) + (0.5 x 15%) = 10%..
ในความเป็นจริง การกระจายความเสี่ยงของเราก็จะหลากหลายกว่านี้ อาจจะมีทั้งหุ้น พันธบัตร หรือสินทรัพย์อื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนต่างกันไป ความผันผวนไม่เท่ากัน และความสัมพันธ์ไปในทิศทางตรงกันข้าม เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ..
=======================...
นักลงทุนสามารถลองไปจัดพอร์ตด้วยตนเองโดยใช้หลักการ MPT ก็ได้ หรือจะให้มืออาชีพช่วยจัดให้ก็ได้ เช่นกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth ที่มีนโนบาย Global ETF บริหารจัดการตามหลัก MPT แบ่งซื้อพันธบัตร และหุ้นทั่วโลก..
Jitta Wealth “Global ETF” จะมีให้เลือกแผนอยู่ 3 ระดับ ตามความเสี่ยงที่รับได้ คือ.
แผนพอเพียง เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ผลตอบแทนคาดหวังประมาณ 4% ต่อปี จะลงทุนในหุ้น 20% และตราสารหนี้ (พันธบัตร หุ้นกู้) 80%..
แผนสมดุล เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง ผลตอบแทนคาดหวังประมาณ 6% ต่อปี จะลงทุนในหุ้น 50% และตราสารหนี้ 50%.
แผนเติบโต เหมาะกับคนที่รับความเสี่ยงได้สูง ผลตอบแทนคาดหวังประมาณ 8% ต่อปี จะลงทุนในหุ้น 80% และตราสารหนี้ 20%....
แผนเติบโต.
#พอร์ตการลงทุน
20% หุ้นกู้คุณภาพดีในสหรัฐฯ iShares iBoxx $ Investment Grade Corporate Bond ETF (LQD)
56% หุ้นประเทศสหรัฐฯ Vanguard Total Stock Market ETF (VTI)
16% หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว Vanguard FTSE Developed Markets ETF (VEA)
8% หุ้นตลาดเกิดใหม่ Vanguard FTSE Emerging Markets ETF (VWO).
#ผลตอบแทนย้อนหลัง
3 ปี 9.65%
5 ปี 7.32%
10 ปี 8.75%.
แผนสมดุล.
#พอร์ตการลงทุน
50% หุ้นกู้คุณภาพดีในสหรัฐฯ iShares iBoxx $ Investment Grade Corporate Bond ETF (LQD)
35% หุ้นประเทศสหรัฐฯ Vanguard Total Stock Market ETF (VTI)
10% หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว Vanguard FTSE Developed Markets ETF (VEA)
5% หุ้นตลาดเกิดใหม่ Vanguard FTSE Emerging Markets ETF (VWO)
.
#ผลตอบแทนย้อนหลัง
3 ปี 7.95%
5 ปี 5.83%
10 ปี 7.08%.
แผนพอเพียง.
#พอร์ตการลงทุน
56% พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้คุณภาพดีในสหรัฐฯ iShares Core U.S. Aggregate Bond ETF (AGG)
24% หุ้นกู้คุณภาพดีในสหรัฐฯ iShares iBoxx $ Investment Grade Corporate Bond ETF (LQD)
14% หุ้นประเทศสหรัฐฯ Vanguard Total Stock Market ETF (VTI)
4% หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว Vanguard FTSE Developed Markets ETF (VEA)
2% หุ้นตลาดเกิดใหม่ Vanguard FTSE Emerging Markets ETF (VWO).
#ผลตอบแทนย้อนหลัง
3 ปี 5.59%
5 ปี 3.95%
10 ปี 4.74%...
นอกจากนี้ ข้อดีของการลงทุน Global ETF กับ Jitta Wealth คือ.
เริ่มต้นด้วยเงินไม่มากเพียง 100,000 บาท
ค่าธรรมเนียมต่ำเพียง 0.5% ต่อปี
เงินปันผลเอาไปลงทุนต่ออัตโนมัติ
ปรับพอร์ตอัจฉริยะเพื่อให้สัดส่วนเหมาะสมกับเป้าหมาย..
“Don’t put all your eggs in one basket” … อย่าวางไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียวกัน..
น่าจะเป็นบทสรุปที่ดีที่สุดของ Jitta Wealth นโยบาย Global ETF ได้เป็นอย่างดี แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือ เราสามารถเลือกทั้งประเภทของไข่ และตะกร้า ที่สอดคล้องกับความเสี่ยงและความคาดหวังของเราได้.
เพื่อที่ว่าสุดท้าย เราจะได้มีพอร์ตการลงทุนระดับโลกที่กระจายความเสี่ยง และพร้อมเติบโตแบบยั่งยืน.
ใครสนใจการลงทุนแบบนี้ คลิ๊กดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://bit.ly/2RWqyaa..
*ผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง Stock Vitamins - วิตามินหุ้น