Government spending in sight
• SET: คาด SET แกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1380-1410 จุดต่อไป สําหรับวอลุ่มการซื้อขาย ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยยืนเหนือระดับ 5 หมื่นล้าน บาทได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งคาดมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ สูงขึ้นตามลําดับ จากท่าทีของตลท.ที่ Active มากขึ้นในช่วงหลัง (รายละเอียดด้านล่าง) มองปัจจัยดังกล่าวเป็น Sentiment ที่ดีต่อกลุ่ม หลักทรัพย์ต่อไป
• Fund flow: เป็นลบเล็กๆ หลังนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิทั้ง 3 ตลาดเมือ วานนี้ โดยเฉพาะตลาด Futures ที่มีสถานะ Short สุทธิไปถึง 3.7 หมื่น สัญญา ถือเป็นปริมาณ Short สุทธิที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีก่อน และ เป็นการเปิดสถานะใหม่ส่วนใหญ่
• G Spending: สํานักงบประมาณ ได้รายงานต่อที่ประชุมครม.ว่า ได้ปรับ ก่าหนดวันในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ปี 2567 ใหม่เป็น ดังนี้
1) สภาผู้แทนฯเลื่อนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระที่ 2-3 เร็ว ขึ้น มาเป็นวันที่ 20-21 มี.ค.67 จากเดิมที่กาหนดในปฏิทินงบประมาณ ไว้เป็นวันที่ 3-4 เม.ย.67
2) วุฒิสภา พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ในวันที่ 25-26 มี.ค. 67 จากเดิมที่ก้าหนดไว้ในวันที่ 9-10 เม.ย.67
3) สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นําร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ขึ้น ทูลเกล้าฯ ถวายในวันที่ 2 เม.ย.67 จากเดิมกําหนดวันที่ 17 เม.ย.67 เพื่อประกาศบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
• Our take: มองต่อเนื่องจากเมือจากเมื่อวานนี้ว่าปัจจัยดังกล่าวจะเป็น Sentiment ที่ดีในระยะสั้นต่อมายังกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับการลงทุน ภาครัฐ ซึ่งเคยเป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อาทิ CK, STEC, ITD, SEAFCO
• Confidence: ตลท.แถลงวานนี้ว่า จะมีบางมาตรการที่เกี่ยวข้องกับ ธุรกรรม Short selling ที่สามารถบังคับ ได้เร็วในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ นั่นก็ คือ การปรับเพิ่มขนาด Market cap ขั้นต่ําา จากเดิม 5,000 ล้านบาท เป็น 7,500 ล้านบาท และการกําหนดให้หุ้นนั้นจะต้องมีสัดส่วน Turnover ratio มากกว่า 2% ต่อเดือน
• Our take: คงมุมมองเดิมจากสัปดาห์ก่อนว่า การบังคับใช้มาตรการ ดังกล่าวจะทําให้หุ้นขนาดเล็กบางตัวที่มีมูลค่าการซื้อขายรายเดือนไม่มาก จะหลุดออกจาก Universe ของหุ้นที่ถูก Short sell ได้ ซึ่งน่าจะทําให้ ปัจจัยที่เคยกดดันราคาหุ้นมาตลอด บรรเทาลงได้ไม่มากก็น้อย อาทิเช่น LPN, WORK, DUSIT, HTC, ASP, SMPC, BGC, TTCL, STPI, TOG เป็นต้น
• EURO รายงานก่าไรสุทธิ 4Q66 ที่ 31.5 ล้านบาท ใกล้เคียงคาด ปรับตัว ลดลง 28.9% QoQ และ 8.9% YoY ส่วน Gross Margin รวมทั้งปี 2566 อยู่ที่ 47.05% ปรับตัวสูงขึ้นจากปี 2565 ที่ระดับ 46.95% คาดรายได้และ กําไรใน 1Q67 สามารถเติบโตได้ทั้ง QoQ และ YoY จากยอด Order ที่ คาดว่าสินค้าจะพร้อมส่งมอบในช่วง 1067 และยังคงคาดการเติบโตของ รายได้และกําไรในปี 2567 ที่ 24%YoY และ 16%YoY ตามล่าดับ ทั้งนี้ การเติบโตของ EURO จะมาจากการเพิ่มฐานลูกค้าและแบรนด์สินค้าใหม่ จากการเปิดโชว์รูม อีก 2 แห่งในปีนี้ ในเชิงพื้นฐาน ประเมินมูลค่าเป้าหมาย เท่าเดิมที่ 14.90 บาท คงคําแนะน่า “ซื้อ” มองราคาปัจจุบันมีความน่าสนใจ เนื่องจากซื้อขายด้วย Forward PE เพียง 12.8x เท่านั้น
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities