โดย วณิชชา สุมานัส
Investing.com – บรรยากาศการซื้อขายใน ตลาดหุ้นไทย (SET) ยังเป็นไปในแดนบวก อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์ยังมองว่า ดัชนีหุ้นไทยยังแกว่งแบบไซด์เวย์จนถึงพักตัว ยังแนะนำให้จับตาราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลดลงที่จะเป็นปัจจัยภายนอกประเทศ และสำหรับปัจจัยภายในประเทศก็ได้แก่ จำนวนผู้ติดโควิดและมาตรการการรับมือของรัฐบาล ตลอดจนการชุมนุมประท้วงทางการเมืองในวันนี้
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ชี้ว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะให้น้ำหนักกับการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ โดยคาดว่า ดัชนีหุ้นไทยในวันนี้น่าจะแกว่งตัวแบบไซด์เวย์จนถึงพักตัว และมองกรอบดัชนีวันนี้ว่าอาจจะเคลื่อนไหวในช่วง 1,515-1,530 จุด
วันนี้ หุ้นเด่น 4 ตัวและน่าลงทุน ได้แก่
1. ORI โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2564 ที่ 868 ล้านบาท เติบโต +23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาและ +5% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่ผ่านมา แม้โครงการแนวสูงจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 แต่สัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบที่เพิ่มขึ้นมาก กำไรพิเศษจากเบี้ยหลัก และรายได้ค่าบริหารโครงการต่าง ๆ จะเป็นปัจจัยช่วยหนุนกำไร
โดยจุดเด่นของ ORI ได้แก่ ธุรกิจอสังหาฯ กระจายตัวได้ดีทั้งแนวราบ แนวสูง และรายได้ประจำ และการต่อยอดธุรกิจเข้าสู่ New S-Curve เช่น โลจิสติกส์ เฮลธ์แคร์ เอเอ็มซี พลังงานทางเลือก รวมถึง การมีพันธมิตรต่างชาติแข็งแกร่ง เช่น Nomura, Tokyu Land ตลอดจนการเกิดใหม่ของบริษัทลูกจากบริษัทหลัก เช่น Britania, Primo เข้า IPO ราคาหุ้นซื้อขายที่ PER2564 ราว 7.6 เท่า ให้ให้ผลตอบแทนที่ 6%
2. TASCO ได้รับอานิสงค์จากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบ Brent และ Nymex ราว -3% โดยน้ำมันเป็นต้นทุนในการผลิตและส่งผลให้สเปรดยางมะตอยมีโอกาสปรับตัวขึ้น แนวโน้มกำไรปกติในไตรมาส 2 ปี 2564 คาดเติบโตในไตรมาสเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ขณะที่เชิงเทคนิคดูน่าสนใจ แนวต้าน 20.00 บาท และสต็อปลอสต์ หากปรับตัวลงต่ำกว่า 18.50 บาท
3. STA ได้รับอานิสงค์หลังสมาคมประเทศผู้ผลิตยาง ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย คาดว่าอาจเกิดภาวะซัพพลายตึงตัวในตลาดยาง หลังประเทศสมาชิกประสบปัญหาการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้การผลิตยางต่ำกว่าคาด โดยกำไรปกติในไตรมาส 2 ปี 2564 อยู่ที่ 4.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น +443% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ขณะที่เงินปันผลในไตรมา 2ปี 2564 คาดหุ้นละ 0.90 บาท ให้ผล 2.4% นอกจากนั้น สัดส่วนรายได้มาจากการส่งออกสูงถึง 90% จึงคาดว่า 3Q64 จะได้ประโยชน์เต็มที่จากเงินบาทเทียบ USD ที่อ่อนค่าเตรียมขึ้นทดสอบ 33.00 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
4. ภาพทางเทคนิคของ GPSC แนวต้านจะอยู่ที่ 80.00 บาท แนวรับ 77.50 บาท และสต็อปลอสต์ หากต่ำกว่า 76.00 บาทแนวโน้มกำไรในไตรมาส 2 ปี 2564 คาดจะออกมาดีจากแรงหนุนของกำไรจากโครงการไซยะบุรี และเรามีมุมมองบวกต่อการเติบโตในระยะยาว ทั้งธุรกิจ อีวี แบ็ตเตอรี และการขยายธุรกิจไปต่างประเทศ หลังเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังลมในไต้หวันสัดส่วน 25% มูลค่าเงินลงทุน 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ