รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

ตลาดหุ้นทั่วโลกระส่ำ ร่วงต่ำสุดในรอบเดือน ขณะที่ดอลลาร์ผงาด

เผยแพร่ 21/06/2564 17:12
อัพเดท 21/06/2564 17:16
© Reuters.

Investing.com - รอยเตอร์ระบุว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์ หลังเฟดเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างคาดไม่ถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและยืนอยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 10 สัปดาห์

ตลาดหุ้นยุโรปเปิดลบ แต่ดัชนี STOXX 600 กระเตื้องขึ้นในช่วงต้นของการซื้อขายและทรงตัวอยู่ได้ โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นเยอรมันและอิตาลี

ดัชนี FTSE 100 ของอังกฤษลดลง 0.05% ดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศสลดลง 0.3% และดัชนี IBEX 35 ของสเปนลดลง 0.6%

ดัชนี All Country World - MSCI Inc (NYSE:MSCI)ลดลง 0.3% และซื้อขายที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค.

ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. ที่ 1.3540% ในขณะที่พันธบัตรอายุ 30 ปีร่วงลงต่ำสุดที่ 1.9290% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ.

เส้นอัตราผลตอบแทนที่วัดจากส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 และ 30 ปี อยู่ในแนวต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม เนื่องจากนักลงทุนกังวลเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะที่ปรับลดแนวโน้มการเติบโตและอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว

ค่าเงินดอลลาร์อยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 10 สัปดาห์เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ๆ หลังจากเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบกว่าหนึ่งปี

"การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์สัปดาห์ที่แล้ว เกิดจากความคาดหวังและการปิดสถานะขาย รวมถึงความกังวลว่าเฟดกำลังล้าหลังสถานการณ์ (จึงต้องดำเนินการเร็วกว่าที่คาดไว้) และตลาดหุ้นเริ่มสูญเสียพื้นฐาน ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในฐานะสกุลเงินที่แข็งแกร่งมากที่สุด” ฟิลิป คาริสสัน นักยุทธศาสตร์เชิงปริมาณรุ่นเยาว์ของ SEB กล่าว "เรายังคงมองว่านี่เป็นการปรับฐาน ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่"

ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงานและบริษัทอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มที่จะมีความไวต่อความผันผวนของเศรษฐกิจได้ลดลงอย่างรวดเร็วหลังการประชุมของเฟด ซึ่งทำให้นักลงทุนประลาดใจด้วยการคาดการณ์ว่าจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสองไตรมาส ภายในปี 2023

เจมส์ บุลลาร์ด ประธานเฟดแห่งเซนต์หลุยส์ กระตุ้นการเทขายเมื่อวันศุกร์ โดยกล่าวว่าการกระชับนโยบายที่เร็วขึ้นเป็นการตอบสนองต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ "ตามปกติ" และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากประเทศกำลังเปิดภาคเศรษฐกิจใหม่อีกครั้ง

นักวิเคราะห์ของ Morgan Stanley (NYSE:MS)เขียนในรายงานฉบับหนึ่งว่า "การที่เฟดเริ่มการอภิปรายอย่างรัดกุมนั้นเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากที่สุด แต่ตลาดเริ่มลดขั้นตอนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้นี้ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว"

"มันเป็นระยะกลางของการเปลี่ยนแปลงและสอดคล้องกับตลาดตราสารทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและการปรับฐาน 10-20% สำหรับแต่ละดัชนีในปีนี้"

ก่อนหน้านี้ในเอเชีย ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นลดลงมากที่สุดถึง 3.6% ต่ำกว่า 28,000 จุด เป็นครั้งแรกในรอบเดือนในขณะที่ดัชนีหุ้นเอเชียแปซิฟิกของ MSCI ลดลง 1.4% ส่วนตลาดบลูชิปของจีนลดลง 0.7%

ตลาดซื้อขายล่วงหน้าหุ้นสหรัฐส่งสัญญาณว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะเปิดบวกในวันนี้ โดยเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากดัชนี S&P 500ร่วงลง 1.3% เมื่อวันศุกร์ ส่วนตลาดซื้อขายล่วงหน้าของ NASDAQ Composite เพิ่มขึ้น 0.3% 

เจ้าหน้าที่เฟดหลายคนจะแถลงการณ์ในสัปดาห์นี้ รวมถึงประธานเจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งจะปราศรัยต่อหน้าสภาคองเกรสในวันอังคาร

นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป จะกล่าวปราศรัยต่อรัฐสภายุโรปในช่วงเย็นวันนี้

เงินยูโรซื้อขายใกล้ระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับดอลลาร์ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายนที่ 1.1887 ดอลลาร์ ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 1.21457 ดอลลาร์เมื่อวันอังคารที่แล้ว

เงินปอนด์ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยเ โดยซื้อขายเพิ่มขึ้น 0.3% ที่ 1.3836 ดอลลาร์ หลังจากแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 เมษายนในวันศุกร์

สกุลเงินที่เชื่อมโยงกับสินค้าโภคภัณฑ์ต่างก็ได้รับผลกระทบ โดยเงินดอลลาร์ออสเตรเลียอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ 0.7495 ดอลลาร์

ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นได้กดดันเงินคริปโตเช่นกัน โดยราคา Bitcoin ร่วงลง 4.2% เหลือประมาณ 34,112 ดอลลาร์ ในขณะที่ Ethereum ลดลง 5.7% ซื้อขายที่ประมาณ 2,115 ดอลลาร์ 

ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำดีดตัวขึ้น 1.1% ที่ 1,782.90 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยคาดว่าจะพลิกฟื้นจากแนวรับที่ติดลบติดต่อกัน 6 วัน แต่ยังคงอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม

ราคาทองแดงในตลาดแลกเปลี่ยนโลหะลอนดอน ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน หลังจากที่ร่วงลง 8.6% ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงรายสัปดาห์ที่มากที่สุดนับตั้งแต่มีนาคม 2020

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTIเพิ่มขึ้นเป็นวันที่สอง โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในช่วงฤดูร้อน และการหยุดเจรจาเพื่อรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งอาจบ่งบอกถึงความล่าช้าในการเริ่มต้นการผลิตน้ำมันจากสมาชิกโอเปกรายนี้

สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์เพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 73.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.3% สู่ระดับ 71.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย