โดย Noreen Burke
Investing.com – ห้าประเด็นหลักที่คุณควรทราบก่อนเริ่มต้นสัปดาห์นี้มีดังต่อไปนี้
- อัตราการว่างงานสหรัฐคาดพุ่งขึ้นเกือบ 20%
อัตราการว่างงานของเดือนที่แล้วในสหรัฐที่จะประกาศออกมาในวันศุกร์นี้คาดว่าจะพุ่งสูงขึ้นเป็น 19.7% และคาดว่าผู้ว่าจ้างจะปลดพนักงานรวมแล้วถึง 8.25 ล้านราย จากเมื่อเดือนเมษายนที่มีตัวเลขการสูญเสียตำแหน่งงานถึง 20.5 ล้านตำแหน่ง
แม้จะมีสัญญาณที่ดีจากตลาดแรงงานในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเนื่องจากแรงงานบางส่วนได้กลับไปทำงานตามปกติแล้วและธุรกิจต่าง ๆ ก็เริ่มทยอยเปิดทำการในช่วงครึ่งหลังของเดือน แต่ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้น่าจะยังไม่ปรากฎในตัวเลขของเดือนพฤษภาคม
ทว่าหากตัวเลขออกมาเป็นไปในแง่บวกเกินคาดก็อาจเป็นแรงหนุนให้ผู้ลงทุนภาวะตลาดกระทิง และเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึงการพลิกฟื้นทางเศรษฐกิจภายหลังจากพิษของการระบาด
- จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐ, ดัชนีจาก ISM
แม้ขณะนี้สมาชิกธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดจะอยู่ในระหว่างช่วงงดออกสื่อเช่นเดียวกับทุกครั้ง ล่วงหน้าก่อนการประชุมนโยบายทางการเงินประจำเดือนมิถุนายนนี้ แต่ปฏิทินเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้จะประกอบไปด้วย ดัชนีภาคการผลิตจาก ISM ในวันจันทร์, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐ ในวันพฤหัสบดีและ ยอดคำสั่งซื้อโรงงาน กับ การจ้างงานภาคเอกชน
ทางด้านฝั่งยูโรโซนก็จะมียอดคำสั่งซื้อโรงงานเยอรมนีประจำเดือนเมษายน ส่วนปฏิทินเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรก็จะมีการรายงานตัวเลขสุดท้ายของดัชนี PMI ภาคการผลิตในวันจันทร์ และตัวเลขสุดท้ายของดัชนี PMI ภาคกิจการบริการในวันพุธ
- สหรัฐจ่อปะทะจีน
ดูเหมือนว่าการปะทะกันระหว่างสองขั้วมหาอำนาจในประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ของจีนเพื่อปกครองฮ่องกงน่าจะดำเนินต่อไปในสัปดาห์นี้
ประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศไว้ว่าจะยุติสถานะพิเศษของฮ่องกงหากจีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ แต่สำนักข่าวประจำชาติจีนก็ได้ตอบโต้ในภายหลังว่าการกระทำดังกล่าวจะสร้างความเสียหายให้แก่สหรัฐมากกว่าจีน
ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่จะชี้ว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นทั่วโลกจะยั่งยืนเพียงใด ก็คือทิศทางของทรัมป์ว่าจะยกระดับความรุนแรงจนยกเลิกข้อตกลงทางการค้าเฟส 1 กับจีนหรือไม่ หรือจะใช้มาตรการเชิงสัญลักษณ์เช่นการคว่ำบาตรและการตรวจลงตราให้ประชาชนฮ่องกงเพื่อเป็นการตอบโต้จีน
- ECB เตรียมไฟเขียวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขณะที่สหภาพยุโรปเตรียมประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นมูลค่า 7.5 แสนล้านยูโรเพื่อหนุนเศรษฐกิจ แต่ในวันพฤหัสบดีนี้ ECB ก็มีแววว่าจะเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่เพิ่มอีกด้วย
สืบเนื่องมาจากกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการและน่าจะประสบปัญหาระหว่างการจัดตั้ง ขณะที่แหล่งเงินทุนของ ECB ขณะนี้มาจากการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉิน ซึ่งน่าจะหมดไปในที่สุดในเดือนตุลาคมนอกเสียจากว่ามีการขยายการซื้อ
ทั้งนี้คาดว่า ECB จะเพิ่มมูลค่าการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉินท่ามกลางการระบาดอีก 5 แสนล้านยูโร (5.55 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) และขยายเวลาการซื้อไปจนถึงกลางปี 2021
นอกจากนี้ ECB ยังมีกำหนดการเผยแพร่การคาดการณ์ทางเศรษฐกิจฉบับปรับปรุง ซึ่งน่าจะยืนยันการประเมินของประธาน ECB คริสทีน ลาการ์ด ที่เคยชี้ว่าเศรษฐกิจยุโรปกำลังอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงขาลงที่หนักกว่าที่เคยคาดไว้
- การเจรจาเกี่ยวกับ Brexit
จะมีการเจรจาเกี่ยวกับ Brexit อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ล่วงหน้าก่อนการประชุมสหภาพยุโรปในวันที่ 18-19 มิถุนายน ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นแล้วสหราชอาณาจักรต้องตัดสินใจแล้วว่าจะขอยืดเวลาข้อตกลงการเปลี่ยนผ่านก่อนถอนตัวจากสหภาพยุโรปหรือไม่
ถึงตอนนี้ก็มีเวลาเหลือไม่มากแล้วก่อนจะถึงเส้นตายวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งจะเป็นเส้นตายการถอนตัวของสหราชอาณาจักรที่อาจจะมีหรือไม่มีการทำข้อตกลงทางการค้า
ตัวแทนผู้เจรจาจากทั้งสองฝ่ายยังไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมเท่าไรนัก และสหภาพยุโรปก็ได้เร่งเร้าให้สหราชอาณาจักรกระตือรือร้นมากกว่านี้และมีพื้นฐานอยู่บนความเป็นจริงมากขึ้นเกี่ยวกับผลลัพธ์จากการเจรจาที่เกิดขึ้น
ดังนั้นความคลุมเครือของสถานการณ์ได้กดดันให้ ปอนด์สเตอร์ลิง ปิดที่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 30 ปี เนื่องจากทั้งแรงกดดันจาก Brexit และความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้อัตราดอกเบี้ยที่ติดลบท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ยืดเยื้อ
--เนื้อหาข่าวได้รับการสนับสนุนจากสำนักข่าวรอยเตอร์
ดูปฏิทินเศรษฐกิจ