โดย Geoffrey Smith
Investing.com -- บทสรุป 5 ข้อเกี่ยวกับภาวะการลงทุนฝั่งสหรัฐ-ยุโรปในวันอังคารที่ 26 พฤษภาคมมีดังต่อไปนี้
1. ตลาดหุ้น สกุลเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น แต่สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงปรับตัวลง
ตลาดหุ้นทั่วโลกดูเหมือนจะกลับมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอีกครั้ง หลังผู้ลงทุนสถาบันขานรับสัญญาณที่บ่งบอกว่าการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐและยุโรปเริ่มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น
พันธบัตรรัฐบาล ทองคำ และสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงอื่น ๆ โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐล้วนปรับตัวลง ขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์ภาคอุตสาหกรรม สกุลเงินกลุ่มตลาดเกิดใหม่ และตลาดหุ้นล้วนปรับตัวขึ้นเกือบทั้งสิ้น
ความคืบหน้าครั้งนี้ตามมาหลังจากเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ญี่ปุ่นได้ยกเลิกภาวะฉุกเฉิน ขณะที่สเปนก็ได้ประกาศกำหนดการเปิดภาคการท่องเที่ยวในเดือนกรกฎาคม และเยอรมนีก็อาจยกเลิกการประกาศเตือนภัยสำหรับการเดินทางไปยังประเทศต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนหน้า
2. เงินปอนด์ปรับตัวขึ้นหลังรัฐบาลอังกฤษไม่ทำตามกติกาล็อกดาวน์
เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความคาดหวังว่ารัฐบาลอังกฤษจะถูกบีบบังคับให้ยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ ภายหลังประชาชนเกิดความไม่พอใจเมื่อที่ปรึกษาอาวุโสของรัฐบาลกลับเป็นผู้ทำผิดกฎที่รัฐบาลกำหนดขึ้นมาเสียเอง
นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายบอริส จอห์นสัน ปฏิเสธที่จะปลดที่ปรึกษาอาวุโสของเขา นายโดมินิก คัมมิงส์ ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของการจัดตั้งการลงประชามติ Vote Leave เมื่อปี 2016 ภายหลังจากคัมมิงส์ได้ขับรถเป็นระยะทางกว่า 250 ไมล์ขณะที่ทั้งเขาและภรรยาต่างก็ติดเชื้อไวรัสโคโรนาทั้งคู่ ถือเป็นการทำผิดกฎของรัฐบาลที่ห้ามไม่ให้มีการเดินทางโดยไม่จำเป็น
โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษได้กล่าวไว้ในวันนี้ว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสแล้วถึง 47,000 ราย เกือบเท่ากับยอดผู้เสียชีวิตที่รัฐบาลอังกฤษได้คาดการณ์ไว้ในเดือนเมษายนในกรณีที่เลวร้ายที่สุดว่าจะมีผู้เสียชีวิต 50,000 ราย
3. ตลาดหุ้นเตรียมพุ่งทะยาน, จับตาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
ตลาดหุ้นสหรัฐเตรียมเปิดตัวอย่างก้าวกระโดดในวันนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากแผนการเปิดเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรป
เมื่อเวลา 6:30 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (1030 GMT) สัญญาซื้อขายดัชนี Dow Jones 30 ล่วงหน้าดีดขึ้น 498 จุดหรือ 2.0% ส่วนสัญญาซื้อขายดัชนี S&P 500 ล่วงหน้าบวกขึ้น 1.9% และสัญญาซื้อขายดัชนี Nasdaq 100 ล่วงหน้าปรับตัวขึ้น 1.8%
ในเวลา 10.00 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก คณะกรรมการประชุมสหรัฐจะรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนพฤษภาคม หลังจากเดือนเมษายนที่ดัชนีความเชื่อมั่นลดลงสู่ระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์หลังมีชาวอเมริกันหลายสิบล้านคนสูญเสียตำแหน่งงานเนื่องจากการล็อกดาวน์ทั่วประเทศ
4. WHO เตือนอาจเกิดการระบาดระลอกที่สอง
แม้จะมีสัญญาณที่บ่งบอกว่าการระบาดเริ่มชะลอตัวลงแล้ว แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) กลับยังไม่ยืนยันว่าการระบาดได้สิ้นสุดลงแล้ว
โดย WHO ได้เตือนเมื่อวานนี้ว่า การระบาดระลอกที่สองมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดขึ้นหากมีการผ่อนปรนมาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมเร็วเกินไป
ดร. ไมค์ ไรอัน ผู้อำนวยการบริหาร WHO กล่าวว่า “เราไม่สามารถสรุปได้ว่าการระบาดเริ่มชะลอตัวลง เพียงเพราะตัวเลขกำลังมีแนวโน้มที่จะลดลง"
คำกล่าวของไรอันตามมาหลังจากวันหยุดเพื่อรำลึกถึงผู้พลีชีพเพื่อชาติในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งมีประชาชนจำนวนมากออกมาเที่ยวที่ชายหาดและแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งในสหรัฐ โดยมีประชาชนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สวมหน้ากากอนามัย
5. ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นแต่ยังไม่สามารถทำระดับสูงสุด, จับตาการขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมัน
ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นแต่ยังไม่สามารถทำระดับสูงสุดครั้งใหมได้ แม้ตลาดหุ้นและโลหะมีค่าส่วนใหญ่จะปรับตัวขึ้นก็ตาม
เมื่อเวลา 6:30 น. สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบสหรัฐอยู่ที่ $34.08 ต่อบาร์เรล ปรับตัวขึ้น 2.5% ส่วนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์บวกขึ้น 1.4% เท่ากับ $36.04 ต่อบาร์เรล
มีรายงานว่ารัฐบาลรัสเซียจะประชุมร่วมกับบริษัทผู้ผลิตน้ำมันภายในประเทศในช่วงครึ่งหลังของวันนี้ เพื่อกำหนดแนวทางในการลดกำลังการผลิตน้ำมันร่วมกันตามที่ได้ตกลงกันกับกลุ่ม OPEC และประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายหลักรายอื่น โดยการลดกำลังการผลิตน้ำมันครั้งนี้ส่งผลอย่างยิ่งต่อราคาน้ำมันที่เริ่มกลับคืนสู่เสถียรภาพในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งอุปสงค์น้ำมันโลกที่เริ่มฟื้นตัวอีกด้วย