โดย Detchana.K
Investing.com - ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งทะลุระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในการซื้อขายวานนี้ พร้อมแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี โดยมีปัจจัยหนุนคือยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเดือนมิถุนยายนที่พุ่งขึ้นถึง 1 ล้านรายในสหรัฐ ทำให้นักลงทุนเริ่มไม่เชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวขอเงศรษฐกิจและเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่าในอีกเพียง 28 วันข้างหน้า ยอดผู้ติดเชื้อโควิดในสหรัฐ จะเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านราย สู่ยอดรวม 3 ล้านราย ดันให้ราคาทองอยู่ในระดับสูงได้อย่างต่อเนื่อง ติดตามรายละเอียดพร้อมประเด็นสำคัญอื่นๆที่นักลงทุนไทยควรรู้สำหรับวันนี้
1.ราคาทองคำยังแข็งแกร่ง ยืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์ 3 วันต่อเนื่อง
ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวานนี้ โดยพุ่งขึ้นมาเหนือ 1,800 เหรียญได้อย่างมั่นคง อย่างไรก็ตามการซื้อขายเช้าวันนี้ ราคาทองคำได้ขึ้นไปทำระดับสูงสุดไว้ที่ 1,812.81 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่ยังไม่สามารถทำระดับสูงสุดใหม่จากวันก่อนหน้าซึ่งทำไว้ที่บริเวณ 1,818.14 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 9 ปี ทำให้แรงซื้อชะลอ และเริ่มเห็นแรงขายสลับออกมาบ้าง โดยปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำผันผวนได้ระยะนี้เป็นปัจจัยเรื่องความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ขณะที่โควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดอย่างรุนแรงต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศ หลังจาก นายไมค์ ปอมเปโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐ ออกมาวิจารณ์จีนอย่างเผ็ดร้อนโดยกล่าวว่า พฤติกรรมของจีนในเรื่องข้อพิพาทด้านดินแดนนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ซึ่งรวมถึงข้อพิพาทกับญี่ปุ่นเรื่องหมู่เกาะเซนกากุในทะเลจีนตะวันออก โดยเขากล่าวว่าโลกไม่ควรยอมให้เกิดการข่มเหงรังแกเช่นนี้
นักวิเคราะห์จาก YLG BULLION มองว่าทองคำมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นสลับออกมาหลังจากราคาทะยานขึ้นสร้างระดับสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง หากแรงขายไม่มากจนกดดันให้ราคาหลุดบริเวณ 1,803-1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ราคามีแนวโน้มจะกลับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านด้านบนอีกครั้ง แนวโน้มทองคำภาคบ่าย ( 9 ก.ค.) มีแนวโน้มขึ้นทดสอบแนวต้านหากแรงเทขายไม่แรงพอ
2. นักวิเคราะห์หลายค่ายเคาะหุ้นถุงมือยางศรีตรังมาแรงจริง ธุรกิจสดใสยาวถึง 3Q64
บลจ.คันทรีกรุ๊ป มองว่า STGT เป็นผู้ประกอบการที่ได้รับผลดีจากการเกิดขึ้นของโรค COVID ขณะที่ความต้องการในอนาคตหลังหมด COVID คาดว่ายังเห็นการเติบโตต่อ โดยเฉพาะจากประเทศในกลุ่มเกิดใหม่ ซึ่งจะสอดคล้องกับการเพิ่มกำลังการผลิตของ STGT ที่วางแผนไว้และจะเป็นผลดีให้กับผลประกอบการที่ยังเห็นการเติบโตได้ในช่วง 1-2 ปีนี้
ภาพรวมธุรกิจถุงมือยางได้รับผลดีจากการระบาดของโรค COVID ที่เกิดขึ้นทั่ว โลกทำให้มีความต้องการถุงมือยางเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งในอดีตเวลาที่เกิดโรค ระบาดขึ้นความต้องการจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่โตประมาณ 12%/ปีทั้งนี้ผู้ผลิตรายใหญ่ในโลกมีทั้งหมด 5 รายโดย 4 รายอยู่ในประเทศ มาเลเซียและ 1 รายในไทยคือ STGT ซึ่งกำลังการผลิตของ 5 รายดังกล่าวคิด เป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของความต้องการใช้ถุงมือยางทั้งโลก ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อจากลูกค้าเต็มกำลังการผลิตแล้วถึง 2Q64 ขณะที่คำสั่งซื้อใน 3Q64 ใกล้เต็มกำลังการผลิตแล้วเช่นกัน
ด้านบลจ.หยวนต้า เผยว่ามีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรของ STGT ในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่ด้วยราคาหุ้น ปรับตัวขึ้น 101% จากราคา IPO และมีความเสี่ยงในการถูกซื้อขายในบัญชี Cash balance ทำให้ ในช่วงสั้นอาจเผชิญแรงขายทำกำไร ในเชิงกลยุทธ์อาจทยอยสะสมเมื่ออ่อนตัวมองว่าระดับราคาต่ำกว่า 67 บาท
3. จับตาอัตราการว่างงานในสหรัฐ
ในวันนี้จะมีการรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานประจำสัปดาห์ในเวลา 8:30 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (1230 GMT) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก คาดว่าจะเท่ากับ 1.4 ล้านราย เกือบเท่ากับสัปดาห์ก่อนหน้านี้ และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง คาดว่าจะอยู่ที่ 18.9 ล้านราย ลดลงจากก่อนหน้านี้
แนวโน้มการจ้างงานเริ่มเป็นไปในแง่บวกมากขึ้นหลังจากรัฐและเมืองต่าง ๆ เริ่มคลายล็อกดาวน์ แต่บางพื้นที่กลับต้องชะลอการเปิดเศรษฐกิจหรือประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง และจึงส่งผลให้อัตราการว่างงานสูงขึ้นมากกว่า 11%