โดย Geoffrey Smith
Investing.com -- บทสรุป 5 ข้อเกี่ยวกับภาวะการลงทุนฝั่งสหรัฐ-ยุโรปในวันอังคารที่ 19 พฤษภาคมมีดังต่อไปนี้
1. เพาเวลล์และมนูชินเตรียมให้การต่อหน้าวุฒิสภา
ประธานเฟด นายเจอโรม เพาเวลล์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสตีเวน มนูชิน จะให้การ (ทางไกล) ต่อหน้าคณะกรรมการทางการเงินของวุฒิสภาเกี่ยวกับวิธีการจัดสรรเงินมูลค่า 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยทั้งสองคนจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่าหากมีความจำเป็นต้องหนุนเศรษฐกิจเพิ่ม ควรจะขยายมาตรการเดิมเท่าใดและเมื่อใด
การปรากฎตัวของทั้งสองท่านตามมาเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากนายเพาเวลล์เสนอว่ารัฐบาลกลางอาจต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในขณะที่รัฐบาลและวุฒิสภากลับเห็นว่ายังไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการเพิ่มเติม รวมทั้งยังเพิกเฉยต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่มูลค่า 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐที่สภาฝั่งเดโมแครตได้ผ่านไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วย
2. เงินยูโรแข็งค่าขึ้น, ฝรั่งเศส-เยอรมนีดันแผนกองทุนกู้ยืม
เงินยูโรแข็งค่าขึ้นและส่วนต่างของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลฝั่งยูโรโซนตึงตัวขึ้น หลังจากฝรั่งเศสและเยอรมนีเดินหน้าขยายกองทุนกู้ยืมร่วมในภูมิภาคเพื่อเยียวยาเศรษฐกิจ
เมื่อวานนี้ฝรั่งเศสและเยอรมนีได้ส่งสัญญาณเป็นครั้งแรกถึงความพร้อมในการแจกจ่ายเงินแทนการให้กู้ยืมให้แก่ประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผ่านกองทุนฟื้นฟูเศรษฐกิจยุโรปเป็นมูลค่า 5 แสนล้านยูโร (5.46 แสนล้านเหรียญสหรัฐ) โดยในแผนการดังกล่าวจะกำหนดให้ระดมทุนผ่านงบประมาณของสหภาพยุโรปและแบ่งปันภาระหนี้ทั่วทั้งภูมิภาค
ดัชนี Stoxx 600 ย่อตัวลงเนื่องจากการขายเพื่อทำกำไร 0.9%
3. ตลาดหุ้นเตรียมเปิดตัวในแดนลบ
ตลาดหุ้นสหรัฐเตรียมเปิดตัวในแดนลบเนื่องจากการขายเพื่อทำกำไร ตามมาหลังจากปฎิกิริยาในแง่บวกเนื่องด้วยผลลัพธ์ขั้นแรกของการทดสอบวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัท Moderna Inc. เพื่อต้านไวรัสโควิด-19
เมื่อเวลา 6:30 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (1030 GMT) สัญญาซื้อขายล่วงหน้าดัชนี Dow Jones 30 ขยับลง 120 จุดหรือ 0.5% ส่วนสัญญาซื้อขายดัชนี S&P 500 ล่วงหน้าติดลบ 0.4% และสัญญาซื้อขายดัชนี Nasdaq 100 ติดลบ 0.2%
ตลาดกลับไม่ได้แสดงความไม่พอใจมากเท่าไรนักต่อคำกล่าวของประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เผยว่าตนกำลังใช้ยาไฮดรอกซีคลอโรควินซึ่งเป็นยาต้านมาลาเรีย เพื่อเป็นการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อโควิด-19 แม้จะไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ชี้ชัดว่ายาชนิดดังกล่าวจะมีประสิทธิภาพต้านการติดเชื้อได้อย่างชะงัดก็ตาม ส่วน FDA ก็ได้ออกมาเตือนว่าการใช้ยาดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจด้วย
4. ยอดขายยานยนต์ทรุดตัวลง, ยอดว่างงานในยุโรปพุ่งสูง
ยอดขายยานยนต์ทางฝั่งยุโรปในเดือนเมษายนออกมาลดลงถึง 76% จากปีก่อน
ส่วนสหราชอาณาจักรซึ่งมีจำนวนผู้เสียชีวิตจากการระบาดสูงสุดรองลงมาจากสหรัฐก็มียอดขายยานยนต์ที่ลดลงด้วยเช่นกัน และยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานอย่างต่อเนื่องในสหราชอาณาจักรในเดือนเมษายนก็ก้าวกระโดดถึง 70% สูงกว่า 2 ล้านราย
5. Walmart และ Home Depot รายงานผลประกอบการ
Walmart เตรียมรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่สิ้นสุดในเดือนเมษายน ซึ่งจะครอบคลุมผลกระทบจากการใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างชัดเจนมากกว่าไตรมาสก่อนหน้านี้
นักวิเคราะห์คาดว่ารายได้ของบริษัทจะสูงขึ้น 1.309 แสนล้านเหรียญสหรัฐจาก 1.239 แสนล้านเหรียญสหรัฐเนื่องด้วยการกักตุนสินค้าจำเป็นของผู้บริโภค ส่วนผลกำไรต่อหุ้นก็คาดว่าจะสูงขึ้นต่ำกว่า 1% เท่ากับ $1.14
ส่วน Home Depot ได้รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสไปแล้วและผลกำไรต่อหุ้นก็ออกมาต่ำกว่าผลคาดการณ์เกือบ 10%