โดย Geoffrey Smith
Investing.com -- บทสรุป 5 ข้อเกี่ยวกับภาวะการลงทุนในวันพุธที่ 8 เมษายนมีดังต่อไปนี้
1. ทรัมป์เล็งเปิดเศรษฐกิจสหรัฐบางส่วนภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ประธานาธิบดีสหรัฐ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แย้มความเป็นไปได้ที่สหรัฐจะเปิดเศรษฐกิจบางภาคส่วนแม้ว่าอัตราการระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐยังไม่มีทีท่าว่าจะชะลอตัวลง โดยในสัปดาห์ที่แล้วจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณถึง 400,000 ราย
ปธน.ทรัมป์ได้ให้สัมภาษณ์กับฌอน ฮานนิตี จาก Fox News เมื่อวานนี้ว่า "เรากำลังพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะเปิดบางภาคส่วนในประเทศ รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะเปิดทุกภาคส่วนด้วย”
ก่อนหน้านี้ ลาร์รี คุดโลว์ ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจแนวหน้าของปธน.ทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ Fox ว่า บางภาคส่วนของเศรษฐกิจสหรัฐอาจพร้อมเปิดตัวในอีก 4-8 สัปดาห์ข้างหน้า แม้จะยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลจะได้รับความร่วมมือจากผู้ว่าการรัฐและนายกเทศมนตรีทั่วประเทศในระดับใดบ้างก็ตาม
2. ยูโรโซนยังหาข้อสรุปเกี่ยวกับมาตรการรับมือวิกฤตการณ์การระบาดไม่ได้
ส่วนต่างของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลฝั่งยุโรปได้ขยายออกกว้างมากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ หลังจากคณะรัฐมนตรีการคลังฝั่งยูโรโซนประสบความล้มเหลวอีกครั้งในการหาข้อสรุปเกี่ยวกับมาตรการเพื่อหนุนสกุลเงินและรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด-19 โดยล่าสุดได้มีการสั่งพักการประชุมชั่วคราวในวันนี้เพื่อดำเนินการประชุมต่อในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับประเด็นการออกตราสารหนี้ร่วมหรือเป็นที่รู้จักในนาม 'ตราสารหนี้โคโรนา' ที่นำโดยอิตาลี สเปน และฝรั่งเศส
แต่ถึงกระนั้นนาย Olaf Scholz รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเยอรมนีซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่คัดค้านการจัดตั้งตราสารหนี้โคโรนาได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องมีการทำข้อตกลงเกิดขึ้นในไม่ช้า
ความคืบหน้าดังกล่าวตามมาหลังจากข้อมูลทางเศรษฐกิจฝั่งยูโรโซนหลายประการได้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบซึ่งอาจนำพาไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของภูมิภาค โดยธนาคารกลางฝรั่งเศสได้คาดการณ์ไว้ว่า GDP ของฝรั่งเศสจะทรุดตัวลง 6% ในไตรมาสแรก ขณะที่สถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจชั้นนำของเยอรมนีก็ได้คาดการณ์ว่า GDP ของเยอรมนีจะทรุดตัวลง 9.8% ในไตรมาสที่สอง หลังจากไตรมาสแรกหดตัวลงไป 1.9%
3. ตลาดหุ้นทั่วโลกเตรียมเปิดตัวหลายทิศทาง
ตลาดหุ้นสหรัฐเตรียมเปิดตัวหลายทิศทาง หลังจากแนวโน้มขาขึ้นเริ่มอ่อนแรงลงในช่วงครึ่งหลังของการซื้อขายเมื่อคืนนี้และกดดันให้ดัชนีหลักส่วนใหญ่ของสหรัฐปรับตัวลงเล็กน้อย
เมื่อเวลา 6:35 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (1035 GMT) สัญญาซื้อขายดัชนี Dow Jones 30 ล่วงหน้าปรับตัวขึ้น 85 จุดหรือ 0.4% ในขณะที่สัญญา สัญญาซื้อขายดัชนี S&P 500 ล่วงหน้า ขยับขึ้น 0.4% และ สัญญาซื้อขายดัชนี Nasdaq 100 ล่วงหน้า ขยับขึ้น 0.5%
ดัชนีเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 0.2% ที่ระดับ 100.14 ได้รับแรงหนุนจากขาขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโรหลังจากการประชุมของคณะรัฐมนตรีการคลังยุโรปยังไม่มีความคืบหน้าและสัญญาณตัวเลข GDP ที่ย่ำแย่จากทางฝรั่งเศสและเยอรมนี ดังนั้นตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ก็เคลื่อนไหวในแดนลบเช่นกัน โดยดัชนี Stoxx 600 ติดลบ 1.1%
4. ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นก่อนการประชุมกลุ่ม OPEC+
ราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนล่วงหน้าก่อนการประชุมกลุ่ม OPEC+ ซึ่งประเทศต่าง ๆ ได้แก่ รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย และประเทศสมาชิกอื่น ๆ ต่างก็มุ่งหวังที่จะตกลงลดกำลังการผลิตในอัตราราว 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยราคาสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐปรับตัวขึ้น 3.6% อยู่ที่ $24.48 ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ขยับขึ้น 0.6% อยู่ที่ $32.05 ต่อบาร์เรล
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบปรับตัวลงในช่วงครึ่งหลังของเมื่อวานนี้ หลังมีตลาดบางส่วนที่เชื่อว่าการลดกำลังการผลิตน้ำมันในอัตรา 10 ล้านบาร์เรลต่อวันก็อาจไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาภาวะอุปทานเกินเนื่องจากอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกที่ลดลง
ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังรายสัปดาห์อย่างเป็นทางการของสหรัฐจะมีกำหนดการรายงานในเวลา 10.30 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก และคาดว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังอย่างเป็นทางการก็น่าจะสูงขึ้นอย่างมหาศาลในทำนองเดียวกันกับปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐจากสถาบันปิโตรเลียมแห่งอเมริกา (API) เมื่อวานนี้ที่ได้รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่สูงขึ้นถึง 11.9 ล้านบาร์เรล สูงกว่าผลคาดการณ์ของตลาดที่คาดว่าจะสูงขึ้นเพียง 9.3 ล้านบาร์เรล
5. ในที่สุดอู่ฮั่นก็ยุติคำสั่งปิดเมือง, คาดว่าประชาชนจะออกเดินทางครั้งใหญ่
หลังจากเวลาได้ผ่านไปกว่า 10 สัปดาห์ ในที่สุดจีนก็ได้สั่งยุติการปิดเมืองอู่ฮั่นซึ่งเป็นเมืองที่พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นครั้งแรก ซึ่งรายงานข่าวระบุว่าประชาชนในพื้นที่อาจหลั่งไหลออกเดินทางครั้งใหญ่ในระยะสั้น ๆ
ทางด้านญี่ปุ่นก็ได้ประกาศภาวะฉุกเฉิน ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่จะปูทางสำหรับการใช้แผนการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ของญี่ปุ่นที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม
ขณะเดียวกันเกาหลีใต้ก็ได้เผยมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจที่มีมูลค่าราว 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์รวมถึงการจัดตั้งเงินทุนกู้ยืมที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับธุรกิจการส่งออกด้วย โดยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับเงินเยนและแข็งค่าขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับเงินวอน