โดย Geoffrey Smith
Investing.com -- บทสรุป 5 ข้อเกี่ยวกับภาวะการลงทุนในวันอังคารที่ 7 เมษายนมีดังต่อไปนี้
1. ราคาทองคำแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2012
ราคาทองคำพุ่งทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 8 ปี ขณะที่กระแสเงินสดยังคงหลั่งไหลเข้าสู่กองทุน ETF, ทองคำแท่งและเหรียญทองคำ ท่ามกลางความคาดหวังว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับต่ำหรือติดลบไปอีกในระยะยาว
สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าในการส่งมอบของตลาดโคเม็กซ์ได้ขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ $1,742.20 ต่อทรอยออนซ์เมื่อคืนนี้ ก่อนที่จะย่อตัวลงไปยืนอยู่เหนือระดับ $1,702 ต่อออนซ์ เมื่อเวลา 6:35 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (1035 GMT)
ขาขึ้นครั้งล่าสุดตามมาหลังจากมีรายงานเมื่อวานนี้ว่า สหรัฐกำลังเตรียมร่างแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจเฟสที่ 4 ที่อาจมีมูลค่าราว 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
2. ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไปอีก ท่ามกลางความหวังต่อข้อตกลงการลดกำลังการผลิตน้ำมัน
ราคาน้ำมันพลิกฟื้นขึ้นอีกครั้งหลังมีความหวังว่าบรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลกจะร่วมมือกันเพื่อลดกำลังการผลิตในการประชุมทางไกลที่จะเกิดขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้ โดยราคาสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐปรับตัวขึ้น 3.1% เท่ากับ $26.91 ต่อบาร์เรล ส่วนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ปรับตัว 2.4% เท่ากับ $33.83 ต่อบาร์เรล
สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างอิงจากแหล่งข่าวที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่ม OPEC+ (ซึ่งรวมถึงรัสเซียด้วย) และรายงานว่า การทำข้อตกลงจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนหากประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะสหรัฐเข้าร่วมข้อตกลงครั้งนี้ด้วย
นอกจากนี้รายงานดังกล่าวยังเผยอีกว่าประเทศต่าง ๆ ใน OPEC+ ต้องการให้ทั้งแคนาดาและบราซิลลดกำลังการผลิตน้ำมันด้วยเช่นกัน
การที่สหรัฐไม่สามารถควบคุมกำลังการผลิตภายในประเทศได้ ทำให้นักวิเคราะห์หลายท่านเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าข้อตกลงครั้งนี้จะตั้งเป้าหมายราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะเป็นการบีบบังคับให้ผู้ผลิตหินน้ำมันในสหรัฐรายย่อยหลายรายต้องล้มละลาย
ทั้งนี้การประชุมของกลุ่มผู้นำด้านพลังงาน G20 ซึ่งจะประกอบไปด้วยประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องยกเว้นนอร์เวย์ จะมีกำหนดการจัดขึ้นในวันศุกร์นี้
3. ตลาดหุ้นทั่วโลกเตรียมเปิดตัวในแดนบวก, แผนการกระตุ้นเศรษฐกิจจากสหรัฐและยุโรปหนุนความเชื่อมั่นในตลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐเตรียมเปิดตัวในแดนบวกอีกครั้ง ได้รับแรงหนุนจากข่าวความคืบหน้าของแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจเฟสที่ 4 ของสหรัฐที่ได้ประกาศออกมาในช่วงครึ่งหลังของเมื่อวานนี้
รายงานข่าวดังกล่าวได้ผลักดันให้ดัชนีอุตสาหกรรม Dow Jones ทะยานขึ้น และหนุนให้ดัชนีหลักทั้งหมดของสหรัฐปรับตัวขึ้นมากกว่า 7%
เมื่อเวลา 6:35 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก สัญญาซื้อขายดัชนี Dow Jones 30 ล่วงหน้า ปรับตัวขึ้น 804 จุดหรือราว 3.6% ส่วน สัญญาซื้อขายดัชนี S&P 500 ล่วงหน้า ขยับขึ้น 3.1% และ สัญญาซื้อขายดัชนี Nasdaq 100 ล่วงหน้า ปรับตัวขึ้น 2.9%
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรปและเอเชียต่างก็ปรับตัวขึ้นหลังจากขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐ และจากข้อมูลทางฝั่งยุโรปที่บ่งชี้ว่าการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในยุโรปเริ่มเข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว ล่าสุดสเปนได้รายงานจำนวนผู้เสียชีวิตที่ลดลงเป็นวันที่สี่ติดต่อกัน ส่วนอิตาลีและเยอรมนีต่างก็มียอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
4. นายบอริส จอห์นสันยังคงอยู่ในไอซียู
นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายบอริส จอห์นสัน ยังรู้สึกตัวและอาการทรงตัวอยู่ในหน่วยดูแลผู้ป่วยวิกฤตหรือไอซียู หลังจากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลโดยด่วนเมื่อคืนวันอาทิตย์ที่กรุงลอนดอน
ถึงกระนั้นประชาชนกลับไม่เชื่อถือข้อมูลจากรัฐมนตรี ไมเคิล โกฟ ที่ได้ยืนยันในวันนี้ว่า นายกรัฐมนตรีจอห์นสันไม่ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจ และให้คำมั่นว่าจะมีการแถลงการณ์อย่างเต็มรูปแบบหากสุขภาพของนายจอห์นสันย่ำแย่ลง
ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงและหุ้นในสหราชอาณาจักรไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากความคืบหน้าครั้งนี้ และยังคงมีแนวโน้มขาขึ้นเช่นเดียวกับตลาดหุ้นยุโรป
5. เฟดเคลื่อนไหวเพื่อคลายความตึงตัวในประเทศตลาดเกิดใหม่, อนุมัติวงเงิน Repo 6 หมื่นล้านฯ แก่อินโดนิเซีย
เฟดได้เห็นชอบการมอบวงเงินการทำธุรกรรมซื้อคืนหรือ Repo เป็นมูลค่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐแก่อินโดนิเซีย ซึ่งตลาดทางการเงินของอินโดนิเซียได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเป็นอันดับต้น ๆ ในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่
ประเทศอินโดนิเซียได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเนื่องด้วยอัตราการทดสอบหาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับประชากรภายในประเทศกว่า 200 ล้านราย โดยหลายฝ่ายเชื่อว่าจำนวนผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ 221 รายถือเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าความเป็นจริง (เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ เนื่องจากจำนวนดังกล่าวไม่รวมผู้เสียชีวิตที่ไม่ได้เสียชีวิตในโรงพยาบาล)
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นราว 20% เมื่อเทียบกับเงินรูเปียห์ของอินโดนิเซียนับตั้งแต่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสในช่วงเดือนมกราคม และเงินดอลลาร์สหรัฐก็แข็งค่าขึ้นในอัตราที่คล้ายคลึงกันเมื่อเทียบกับสกุลเงินจากกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ หลังจากกระแสเงินทุนเริ่มติดขัดเพราะแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้น