โดย Geoffrey Smith
Investing.com -- บทสรุป 5 ข้อเกี่ยวกับภาวะการลงทุนฝั่งสหรัฐ-ยุโรปในวันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายนมีดังต่อไปนี้
1. กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีเข้ามากอบกู้ตลาดหุ้น
กลุ่มหุ้นเทคโนโลยียังคงประกาศผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดในเวลาหลังตลาดปิดเมื่อวานนี้
หุ้น Facebook ทะยานขึ้น 8% หลังจากรายจ่ายเพื่อการโฆษณาในเดือนเมษายนของบริษัทเริ่มฟื้นตัว เนื่องจากบรรดาบริษัทเกมมิ่งและบริษัทที่มุ่งเน้นให้บริการจากที่บ้านเป็นหลักต่างก็ถือโอกาสเร่งทำโฆษณาออนไลน์เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
Microsoft ก็มียอดขายที่สูงขึ้น 15% และผลกำไรสุทธิ 1.075 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยได้รับแรงหนุนส่วนใหญ่จากความต้องการใช้บริการของ Azure
ส่วน Tesla (NASDAQ:TSLA) ก็รายงานผลกำไรที่สูงเกินคาดถึง $1.24 ต่อหุ้น ต่างจากผลคาดการณ์ที่คาดว่าจะขาดทุน 28 เซนต์ จึงทำให้หุ้นทะยานขึ้น 8%
Amazon และ Apple (NASDAQ:AAPL) จะปิดท้ายฤดูกาลประกาศผลประกอบการของบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมภายหลังเวลาตลาดปิดวันนี้
ดูความเคลื่อนไหวหุ้นรายตัวของไทยและทั่วโลกที่นี่
2. การประชุมของ ECB หลังข้อมูลทางเศรษฐกิจแสดงให้เห็นผลกระทบจากโควิด-19 ทั่วยุโรป
ธนาคารกลางยุโรปหรือ ECB เตรียมประชุมนโยบายตามกำหนดการในวันนี้ โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ ECB จะประกาศขยายวงเงินการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉิน (PEPP) มูลค่าเท่ากับ 7.5 แสนล้านยูโรที่ได้ประกาศไปเมื่อเดือนมีนาคม
ข้อมูลจาก Eurostat ระบุว่า เศรษฐกิจฝั่งยูโรโซนเมื่อเทียบเป็นรายไตรมาสหดตัวลง 3.8% ถือว่าหดตัวลงมากกว่า GDP สหรัฐ (ซึ่งตัวเลขของสหรัฐเทียบเป็นรายปี ไม่ใช่รายไตรมาส) เนื่องจากยูโรโซนประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เร็วกว่าฝั่งสหรัฐ
GDP ฝรั่งเศสทรุดตัวลง 5.8% ส่วน GDP สเปนดิ่งลง 5.2% ล้วนเป็นตัวเลขที่ดิ่งลงเกินคาดการณ์ ส่วน GDP ของอิตาลีหดตัวลง 4.7%
3. ตลาดหุ้นเตรียมเปิดตัวหลายทิศทาง, จับตายอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกสหรัฐและผลประกอบการของ McDonald’s กับ Comcast
ตลาดหุ้นสหรัฐเตรียมขยับหลายทิศทาง ขยับตัวขึ้นไปอีกจากขาขึ้นเมื่อวานนี้หลังจากเฟดได้สร้างความมั่นใจให้กับตลาดและมีความคืบหน้าเกี่ยวกับยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาการติดเชื้อโควิด-19 โดยความเชื่อมั่นของตลาดในวันนี้จะถูกทดสอบด้วยการรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐในเวลา 8:30 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก
เมื่อเวลา 6:30 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (1030 GMT) สัญญาซื้อขายดัชนี Dow Jones 30 ล่วงหน้าขยับขึ้น 42 จุดหรือราว 0.2% ส่วนสัญญาซื้อขายดัชนี S&P 500 ล่วงหน้าคงตัวและสัญญาซื้อขายดัชนี Nasdaq 100 ขยับขึ้น 0.3%
นอกจากกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีแล้ว ก่อนเวลาตลาดเปิดก็จะมีการรายงานผลประกอบการของ Visa, McDonald’s, Comcast, ConocoPhillips, Kraft Heinz และ Altria ด้วย
ดูกราฟความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นทั่วโลกที่นี่
4. วันที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์ของ Shell
Royal Dutch Shell ลดการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสเหลือ 16 เซนต์จาก 47 เซนต์ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง โดยความคืบหน้าครั้งนี้เป็นสัญญาณชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่าในอนาคตบริษัทจะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับเดียวกันกับที่เคยทำได้ในอดีตอีกต่อไป
ซีอีโอของ Shell นาย Ben van Beurden ชี้ว่าการลดเงินปันผลนั้นเป็นการ "รีเซ็ต" นโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัท โดยบริษัทมีผลกำไรที่ลดลงถึง 46% และคาดว่าในอนาคตจะย่ำแย่กว่านี้เนื่องจากกำลังการผลิตน้ำมันที่ลดลง
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้ทำให้ตลาดเริ่มจับตาบริษัทผู้ผลิตน้ำมันยักษ์ใหญ่รายอื่น แม้ว่าขณะนี้ยังไม่มีบริษัทใดที่ดำเนินตามรอย Shell เลยก็ตาม
5. การไฟฟ้าพลังงานทดแทนมาแรงในตลาดพลังงาน
สำนักงานการพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า อุปสงค์น้ำมันโลกจะหดตัวลง 6% ในปีนี้เนื่องจากโควิด-19
โดยเฉลี่ยแล้วคาดว่าอุปสงค์น้ำมันจะลดลงประมาณ 9% ทำให้การอุปโภคน้ำมันลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี นอกจากนี้อุปสงค์ของถ่านหินและก๊าซธรรมชาติก็น่าจะได้รับผลกระทบในทำนองเดียวกัน
ทว่า IEA ชี้ว่า ข่าวดีก็คือปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกน่าจะลดลงไป 8% และพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทดแทนจะเป็นภาคส่วนเดียวที่เติบโตขึ้นทั้งอุปสงค์และอุปทาน
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบสหรัฐทะยานขึ้นอีก 17.5% เท่ากับ $17.66 ต่อบาร์เรล ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ปรับตัวขึ้น 9.2% เท่ากับ $26.45 ต่อบาร์เรล
ติดตาม Investing Thailand บน FACEBOOK