หลังจากที่จีนได้ขึ้นแท่นเป็นประเทศแรก ๆ ที่เริ่มทดลองนำหยวนดิจิทัลออกมาใช้กับประชาชนในประเทศ และชาวต่างชาติ ผ่านการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกประจำปี 2022 ที่ผ่านมา ก็ได้ส่งผลให้รัฐบาลจากหลากหลายประเทศต่างพากันหันมาเร่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง หรือ ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ Central Bank Digital Currency (CBDC) กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่าทางด้านประเทศไทยของเราเองก็ได้มีการซุ่มวางแผนพัฒนา “บาทดิจิทัล” มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม หลาย ๆ ท่านอาจกำลังสงสัยอยู่ว่าสกุลเงินดังกล่าวคืออะไร และจะเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของเราอย่างไร วันนี้ CryptoSiam จึงขออาสาพาผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับเหรียญดิจิทัลสกุลนี้ให้ดีขึ้นกว่าเดิม
Table of Contents
เงินบาทดิจิทัล คืออะไร? CBDC สัญชาติไทย แตกต่างจากเงินในรูปแบบอื่น ๆ อย่างไรบ้าง? ทำไมต้องใช้บาทดิจิทัล ? เราจะได้ใช้ “เงินบาทดิจิทัล” เมื่อไร?
เงินบาทดิจิทัล คืออะไร?
หากจะพูดให้ทุกคนได้เข้าใจความหมายของเงินบาทดิจิทัลได้ง่ายดายมากขึ้นนั้น คงจะไม่มีคำไหนที่ชัดเจนไปกว่าคำว่า “คริปโตเคอร์เรนซีสัญชาติไทยที่ออกโดยแบงก์ชาติ” ของเรานั่นเอง โดยเงินดิจิทัลสกุลนี้ก็เปรียบเสมือนกับเหรียญ Stablecoin เหรียญหนึ่งที่จะตรึงราคาไว้กับสกุลเงินประจำชาติในอัตราส่วน 1:1 ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถนำไปใช้งานได้จริงทั้งบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และออฟไลน์ การันตีการปกป้องความปลอดภัยระดับสูง และไร้ค่าธรรมเนียมการฝาก และถอน รวมไปถึงดอกเบี้ยด้วยเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีลักษณะคล้ายเงินสดนั่นเอง
ทั้งนี้ หลายคนอาจจะมองว่าเหรียญบาทดิจิทัลจะเข้าถึงยากหรือเปล่า? ต้องขอบอกเลยว่าวิธีการใช้เจ้าเหรียญดิจิทัลประจำชาตินั้นง่ายนิดเดียว เพียงแค่ผู้ใช้งานฝากเงินเข้าไปเก็บไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล (Wallet) เพื่อแปลงเงินสดมาเป็นบาทดิจิทัลเท่านั้น หรือ ถ้าหากใครที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือ อินเทอร์เน็ตก็สามารถฝากเงินกับสถาบันการเงินทุกแห่งในประเทศได้อีกด้วยเช่นเดียวกัน
แล้วแบบนี้ “บาทดิจิทัล” จะแตกต่างกับสกุลเงินบาทที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน หรือ คริปโตเคอร์เรนซีปกติอย่างไรล่ะ? เราจะมาดูกันในหัวข้อต่อไป
CBDC สัญชาติไทย แตกต่างจากเงินในรูปแบบอื่น ๆ อย่างไรบ้าง?
เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพที่ชัดเจนมากยิ่ง เงินสด ก็คือเงินที่เราจับต้องได้ และใช้ชำระค่าสินค้า และบริการต่าง ๆ กันในชีวิตประจำวัน ซึ่งแน่นอนว่าคริปโตเคอร์เรนซีของไทยก็ทำได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่สกุลเงินดิจิทัลสกุลนี้นั้นจะไม่สามารถจับต้องได้นั่นเอง ซึ่งเมื่อพูดถึงเงินดิจิทัลแล้วนั้น บาทดิจิทัลก็ไม่ได้ถูกจัดให้เป็นคริปโตเคอร์เรนซีทั่ว ๆ ไปอย่างที่เราเห็นกัน เนื่องจากเหรียญดิจิทัลที่ถูกออกโดยภาคเอกชนนั้นมีมูลค่าผันผวน และยังไม่มีกฎหมายเงินตราใด ๆ ให้การรองรับเท่าไรนัก แต่ทว่าบาทดิจิทัลนั้นมีกลไกการตรึงมูลค่าไว้กับสกุลเงินของประเทศจึงมีความผันผวนน้อย นอกจากนี้ยังถูกออกโดยตรงจากแบงก์ชาติจึงทำให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ว่าเป็นสกุลเงินที่ถูกกฎหมาย และมีความปลอดภัยที่สูงมากกว่าสกุลเงินอื่น ๆ แน่นอน
ทำไมต้องใช้บาทดิจิทัล ?
เมื่ออ่านมาจนถึงหัวข้อนี้แล้ว แน่นอนว่าผู้อ่านหลายท่านคงมีคำถามว่าใช้ CBDC สัญชาติไทยจะช่วยอะไรเราได้บ้าง ทางธนาคารกลางก็ได้ชี้แจงถึงประโยชน์ประการแรกของการใช้บาทดิจิทัลนั้น ก็คือการลดการสัมผัสนั่นเอง เนื่องด้วยในปัจจุบันการแพร่กระจายของโรค COVID-19 ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงอย่างง่าย ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการใช้เงินสดในการชำระค่าสินค้า และบริการต่าง ๆ อย่างมากด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ CBDC สัญชาติไทยสกุลนี้จึงเรียกได้ว่าสามารถตอบโจทย์ถึงปัญหาดังกล่าวได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียว
นอกจากนี้ บาทดิจิทัลยังไร้ค่าธรรมเนียม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการฝาก หรือถอนเงินไปได้อย่างมาก พร้อมกันนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสกุลเงินสดของประเทศได้มากขึ้น ผ่านการต่อยอดทางนวัตกรรมทางการเงินในรูปแบบใหม่ในอนาคตได้อีกด้วยเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น บาทดิจิทัลยังสามารถถูกนำไปใช้ได้ในวงกว้าง ไม่เหมือนกับเงิน e-money รูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Truemoney, ...