Investing.com - ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นในตลาดเอเชียวันนี้และกำลังมุ่งหน้าสู่การเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่หก หลังข้อมูลระบุว่า สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ ของสหรัฐฯ ลดลงมากกว่าการคาดการณ์ แต่การปรับขึ้นก็ยังมีจำกัด เนื่องจากนักลงทุนประเมินความคืบหน้าของการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครนอย่างระมัดระวัง
สัญญา น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ที่จะครบกำหนดในเดือนพฤษภาคมซื้อขายเพิ่มขึ้น 0.4% มาเป็น 73.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ เวลา 08:27 น. (GMT+7) ขณะที่ น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส เพิ่มขึ้น 0.4% แตะ 68.84 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทั้งสองสัญญาปิดบวกเล็กน้อยในวันอังคาร หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐขู่จะเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 25% กับประเทศที่ซื้อน้ำมันจากเวเนซุเอลา
ราคาน้ำมันยังคงถูกกดดันในวันนี้ หลังจากสหรัฐสามารถไกล่เกลี่ยให้รัสเซียและยูเครนตกลงแยกกัน เพื่อหยุดการโจมตีทางทะเลและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน
น้ำมันดิบคงคลังสหรัฐลดลงอย่างมาก ภาษีนำเข้าเวเนซุเอลาช่วยหนุนราคา
สถาบัน American Petroleum Institute (API) รายงานว่า สินค้าคงคลังน้ำมันดิบ ของสหรัฐฯ ลดลงอย่างมากถึง 4.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 21 มีนาคม 2025 มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 2.5 ล้านบาร์เรล
การลดลงอย่างมากของน้ำมันดิบคงคลังบ่งชี้ถึงความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐที่แข็งแกร่งขึ้น
นักลงทุนจะต้องจับตารายงานจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) ที่จะเผยแพร่ในเร็ว ๆ นี้ เพื่อยืนยันแนวโน้มดังกล่าว และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อทิศทางราคาน้ำมันในอนาคต
ราคาน้ำมันยังได้รับแรงหนุนจากการประกาศของทรัมป์เมื่อวันจันทร์ ที่ขู่จะเก็บภาษีนำเข้า 25% กับสินค้าทุกประเภทจากประเทศที่ซื้อน้ำมันหรือก๊าซจากเวเนซุเอลา โดยมาตรการนี้จะมีผลในวันที่ 2 เมษายน
เป้าหมายของมาตรการนี้คือการกดดันทางเศรษฐกิจต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา ซึ่งรัฐบาลสหรัฐกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมเป็นปฏิปักษ์และบ่อนทำลายสถาบันประชาธิปไตย
การส่งออกน้ำมันถือเป็นแหล่งรายได้หลักของเวเนซุเอลา โดยจีนเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของประเทศ
การประกาศดังกล่าวสร้างความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานน้ำมันโลก และส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเล็กน้อย
การเจรจาหยุดยิงรัสเซีย-ยูเครนกดดันราคาน้ำมัน
สหรัฐยังได้เป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างยูเครนและรัสเซียเมื่อวันอังคาร เพื่อหยุดการโจมตีทางทะเลและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน
ในข้อตกลงดังกล่าว วอชิงตันให้คำมั่นว่าจะผลักดันให้ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรบางส่วนต่อมอสโค โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกสินค้าเกษตรและปุ๋ยของรัสเซีย
หากการยกเลิกคว่ำบาตรขยายไปถึงภาคพลังงาน รัสเซียอาจสามารถส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้นในตลาดโลก ซึ่งจะทำให้มีอุปทานเพิ่มขึ้น และกดดันราคาน้ำมันให้ลดลง
อีกปัจจัยสำคัญคือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ลดลง โดยราคาน้ำมันมักจะปรับขึ้นเมื่อเกิดความขัดแย้งที่อาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานพลังงาน โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญในการส่งออกพลังงาน เช่น รัสเซีย การหยุดยิง แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว ก็ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการหยุดชะงักของอุปทานลงได้