Investing.com - ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นในตลาดเอเชียวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากความเป็นไปได้ของการหยุดชะงักทางการค้า หลังจากที่สหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะเดินหน้าปฏิบัติการโจมตีกลุ่มฮูตีในเยเมนต่อไปจนกว่าการโจมตีของพวกเขาจะยุติลง
บรรยากาศการซื้อขายยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการที่จีนประกาศแผนปฏิบัติการพิเศษเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
น้ำมันดิบเบรนท์ฟิวเจอร์ส ที่จะครบกำหนดในเดือนพฤษภาคมปรับตัวขึ้น 1.6% มาเป็น 71.73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ เวลา 08:12 น. (GMT+7) ขณะที่ น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส พุ่งขึ้น 1.8% แตะระดับ 68.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ทั้งสองสัญญาปิดตลาดแทบไม่เปลี่ยนแปลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น
สหรัฐฯ ให้คำมั่นจะเดินหน้าโจมตีกลุ่มฮูตีต่อไป
รัฐบาลสหรัฐได้เพิ่มความเข้มข้นของปฏิบัติการทางทหารต่อกลุ่มกบฏฮูตีที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในเยเมน โดยรัฐมนตรีกลาโหม พีท เฮกเซธ ประกาศว่า การโจมตีทางอากาศจะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่ากลุ่มฮูตีจะหยุดการโจมตีเรือและโดรนของสหรัฐฯ
ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นหลังจากการโจมตีรอบแรกที่ส่งผลให้กลุ่มฮูตีได้รับความเสียหายอย่างหนัก
กลุ่มฮูตีมีประวัติการโจมตีเรือพาณิชย์ในทะเลแดง ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าสำคัญของโลก โดยคิดเป็นประมาณ 15% ของปริมาณการขนส่งสินค้าทางทะเลทั่วโลก
ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นได้เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการหยุดชะงักของเส้นทางขนส่งที่สำคัญในทะเลแดง ซึ่งอาจกระทบต่ออุปทานน้ำมันทั่วโลก
จีนประกาศแผนพิเศษเพื่อกระตุ้นการบริโภค
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จีนได้เปิดเผยแผนยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมเพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยอุปสงค์ภายใน
แผนดังกล่าวประกอบด้วยมาตรการเพิ่มรายได้ของประชาชน ลดภาระทางการเงิน และปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางการบริโภคเพื่อส่งเสริมการใช้จ่าย
มาตรการสำคัญนั้นได้แก่ การส่งเสริมการเติบโตของค่าจ้างอย่างเหมาะสม ขยายช่องทางรายได้จากทรัพย์สิน และสำรวจแนวทางปลดล็อกมูลค่าของที่อยู่อาศัยในชนบทผ่านรูปแบบการเช่าและความร่วมมือ
แผนดังกล่าวยังเน้นไปที่การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น ยานยนต์ไร้คนขับและอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ เพื่อสร้างภาคการบริโภคที่มีอัตราการเติบโตสูง
แนวโน้มของการบริโภคที่เพิ่มขึ้นในจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์และเทคโนโลยี ชี้ให้เห็นถึงความต้องการพลังงานที่อาจเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันให้ปรับตัวสูงขึ้น
ในวันนี้ นักลงทุนกำลังจับตาดูข้อมูลรายเดือนของจีนเกี่ยวกับ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และ ดัชนียอดค้าปลีก เพื่อประเมินแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจอันดับสองของโลก