ถ้าถามว่าสัปดาห์นี้น้ำมันดิบ WTIจะยังคงอยู่ต่ำกว่า $20 อยู่หรือไม่? ตอนนี้เราตอบได้เพียงว่าปัจจัยของ WTI ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ในการกักเก็บน้ำมันเพียงอย่างเดียวแล้วแต่ยังขึ้นอยู่ตลาดจะกลับมาเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ เร็วแค่ไหนด้วยหลังจากที่ในสัปดาห์นี้บรรยากาศการลงทุนในฝั่งสหรัฐฯ เชื่อมั่นว่าประเทศจะสามารถกลับมาเปิดประเทศได้โดยเร็วและประชาชนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยกับความพยายามกลับมาเปิดประเทศอย่างรวดเร็วของทรัมป์
เพราะสัญญาซื้อราคาน้ำมันดิบ WTI ล่วงหน้าของเดือนพฤษภาคมจะหมดลงในวันนี้แล้วทำให้นักลงทุนจึงเริ่มเทขายสัญญาที่กำลังจะหมดและหันไปถือสัญญาที่ส่งมอบในเดือนมิถุนายนแทน การเปลี่ยนนี้ทำให้ราคาน้ำมันดิบ WTI มีราคาสูงขึ้นในช่วงเช้าของตลาดลงทุนฝั่งเอเชียเมื่อวานแต่เมื่อช่วงบ่ายมาถึงเราพบว่าราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลงมากกว่า 5%
สำหรับคนที่ยังถือสัญญาที่จะหมดลงในวันนี้เราต้องบอกเลยว่าสถานการณ์นั้นแย่มาก ลำพังวันศุกร์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบ WTI ล่วงหน้าก็ปรับตัวลดลงไปถึง $17.31 แล้วนับเป็นจุดต่ำสุดที่ราคาเคยทำมาตั้งแต่เดือนพฤษจิกายนปี 2001 และปัจจุบันในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้อยู่ราคาน้ำมันดิบ WTI ได้ปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า $12 เป็นที่เรียบร้อย
ราคาน้ำมันดิบจะลงไปได้อีกไกลแค่ไหน?
ความเร็วของการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ WTI ล่วงหน้าที่จะมีการส่งมอบในเดือนมิถุนายนจะลงเร็วแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าน้ำมันดิบที่อยู่ในคลังของสหรัฐฯ และของที่เก็บน้ำมันทั่วโลกจะเต็มเร็วแค่ไหน อ้างอิงข้อมูลจากคลังเก็บน้ำมันดิบในรัฐโอคลาโฮมาตอนนี้ที่ขึ้นมาถึง 71% ในวันที่ 10 เมษายนและตอนนี้ก็ปรับตัวขึ้นมาอีก 15% นับจากวันนั้น นักวิเคราะห์คาดว่าคลังเก็บน้ำมันนี้จะเต็มความจุภายในกลางเดือนพฤษภาคมหรืออย่างช้าที่สุดก็ต้นเดือนมิถุนายน
ที่กักเก็บน้ำมันจากการขุดขึ้นมาจากทะเลก็มีปริมาณที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน คาดการณ์ว่าที่สำหรับกักเก็บน้ำมันจะได้ตัวเลขสถิติการกักเก็บใหม่อยู่ที่ 160 ล้านบาร์เรลเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากสองสัปดาห์ที่แล้วในขณะที่ไวรัสโคโรนายังคงเดินหน้าทำลายปริมาณความต้องการน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่องและทำได้เร็วกว่าการลดกำลังการผลิตน้ำมัน ผู้เชี่ยวชาญกลับยังคงมานั่งถกเถียงกันอยู่ว่าเมื่อไหร่ที่ปริมาณน้ำมันดิบทั่วโลกจะล้นคลังขึ้นมาจริงๆ
โลกเรายังมีพื้นที่ให้กักเก็บน้ำมันเพิ่มอีก 200 ล้านบาร์เรลหรืออีก 2 พันล้านบาร์เรลอยู่อีกไหม?
Rystad Energy ประเมินว่าเฉพาะคลังกักเก็บน้ำมันในสหรัฐฯ มีอยู่ทั้งสิ้น 200 ล้านบาร์เรลเท่านั้นและในตอนนี้พื้นที่ประมาณ 150 ล้านบาร์เรลถูกใช้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามข้อมูลจาก Orbital Insight ซึ่งติดตามปริมาณน้ำมันดิบแบบเรียลไทม์แสดงให้เห็นว่าคลังเก็บน้ำมันทั้งโลกอาจจะสามารถรองรับน้ำมันได้ทั้งหมด 2 พันล้านบาร์เรล
Orbital กลาวว่าข้อมูลของบริษัทได้มาจากคลังเก็บน้ำมันจำนวน 27,000 แห่งทั่วโลกและคำนวณออกมาเป็นปริมาณน้ำมันดิบรวมในแต่ละวันโดยใช้เทคโนโลยี high-revisit optical satellite imagery และ Synthetic Aperture Radar (SAR) ในการส่งสัญญาณและข้อมูลที่ได้มาเป็นไปตามด้านล่างนี้
- สหรัฐฯ: 317.59 ล้านบาร์เรลซึ่งเต็มไปแล้ว 50.7%
- ซาอุดิอาระเบีย: 106.30 ล้านบาร์เรลซึ่งเต็มไปแล้ว 59.1%
- อีรัก: 17.21 ล้านบาร์เรลซึ่งเต็มไปแล้ว 46.1%
- พื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก: 3,197.33 ล้านบาร์เรลซึ่งเต็มไปแล้ว 55.5%
ความกังวลเกี่ยวกับโควิด-19 และการกลับมาเปิดเมืองของสหรัฐฯ
นักลงทุนในตอนนี้นอกจากจะติดตามข่าวเศรษฐกิจแล้วพวกเขายังกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญข้อมูลเกี่ยวกับโควิด-19 ไปแล้วด้วย เมื่อสัปดาห์ที่แล้วตลาดหุ้นสามารถปรับตัวกลับขึ้นมาได้เพราะนักลงทุนมีความหวังเกี่ยวกับการจะกลับมาเปิดเมืองอีกครั้งของโดนัลด์ ทรัมป์และยังมีแผนจะกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 2 ด้วยแม้ว่าผู้วาการรัฐนิวยอร์กพึ่งจะออกมาพูดเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่าตัวเลขยอดคนตายและคนป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลลดลง
แต่ผู้ว่าการรัฐคนเก่งก็ยังแนบหมายเหตุมาด้วยว่าสหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องขยายวงกว้างการตรวจเชื้อไวรัสต่อไปเพื่อลดความเป็นไปได้ที่กลับมาเปิดเมืองแล้วอาจพบการคิดเชื้อใหม่เป็นระลอกที่ 2 นอกจากนี้เขายังเรียกร้องไปยังรัฐบาลกลางด้วยว่ารัฐนิวยอร์กยังต้องการเครื่องมือทางการแพทย์อีกมากและอยากจะตรวจให้ได้มากที่สุดก่อนที่ทรัมป์จะกลับมาเปิดเมืองอีกครั้ง
ไม่ใช่แค่เฉพาะในรัฐนิวยอร์กเท่านั้นแต่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์เองก็พบว่ากราฟของยอดผู้ติดเชื้อเริ่มโค้งและลดลงแล้ว เมื่อเห็นข่าวดีอย่างนี้ทรัมป์จึงไม่รอช้าอาศัยจังหวะในการกระตุ้นให้ประชาชนที่เห็นด้วยกับการเปิดรัฐเรียกร้องให้ผู้ว่าการรัฐของตนตัดสินใจเปิดเมืองโดยเร็ว อย่างไรก็ตามยังมีนักลงทุนบางกลุ่มที่มองว่าการกระทำของทรัมป์อาจเป็นการประมาทเกินไปดังนั้นดัชนีดาวโจนส์อาจมีราคาเปิดในวันจันทร์ที่ปรับตัวลดลงมา
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องลด ลดและลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีก
IEA คาดการณ์ว่าปริมาณความต้องการน้ำมันดิบในเดือนนี้จะลดลงวันละ 29 ล้านบาร์เรลจนอาจจะลงไปถึงตัวเลขที่นักวิเคราะห์ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบทศวรรษ ตัวเลขนี้คิดเป็นการหายไปของปริมาณการใช้งานน้ำมันดิบทั่วโลก 29% เมื่อเทียบกับตัวเลขความต้องการในช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2019
ในขณะเดียวกัน GLOPEC หรือกลุ่มพันธมิตรของประเทศผู้ผลิตน้ำมันของโลกได้ออกมาบอกว่าทุกวันนี้การใช้งานน้ำมันดิบทั่วโลกลดลงไป 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันและทรัมป์ก็ได้ออกมากดดันให้กลุ่มโอเปกลดกำลังการผลิตลงอย่างน้อยเป็น 20 ล้านลาร์เรลต่อวัน ทางด้านของรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของซาอุและรัสเซียต่างบอกว่าจะจับตาดูความคืบหน้าของสถานการณ์น้ำมันดิบเพิ่มเติมอย่างใกล้ชิดและจะลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีกถ้าจำเป็น
บริษัท Pioneer Natural Resources (NYSE:PXD) และ Parsley Energy (NYSE:PE) ต้องการให้ Texas Railroad Commission ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ลดการผลิตน้ำมันลงอีก 20% ก่อนที่อุตสาหกรรมผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ จะล่มสลาย ประโยคนี้กล่าวโดย CEO Pioneer สก็อต เชฟฟิลด์
แต่ผู้ผลิตอื่นๆ อย่างบริษัท Chevron (NYSE:CVX) และ Marathon Oil (NYSE:MRO) กลับบอกว่าการกดดันของสหรัฐฯ ที่มีต่อกลุ่มโอเปกตอนนี้ก็เพียงพออยู่แล้ว “ตอนนี้เราก็ลดกำลังการผลิตลงมามากจนไม่รู้จะมากอย่างไรแล้ว นี่ยังไม่นับว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันในเท็กซัสจะต้องถูกลดค่าใช้จ่ายในการขุดหาแหล่งน้ำมันใหม่อีก” - CEO ของบริษัท Marathon กล่าว
ตอนนี้กำลังการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ อยู่ที่ 1.7% ซึ่งมากกว่าตัวเลขของปีที่แล้วแต่ตัวเลขการส่งออกน้ำมันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วกลับเหลือเพียง 12.3 ล้านบาร์เรลต่อวันเท่านั้นเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดที่เคยทำได้อยู่ที่ 13.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ราคาทองคำกับความพยายามกลับขึ้นสู่ $1700 อีกครั้ง
ในช่วงตลาดหลักทรัพย์ฝั่งเอเชียเปิดเมื่อวานนี้พบว่าราคาทองคำมีราคาเปิดต่ำกว่า $1,700 ต่อออนซ์ซึ่งสาเหตุของการปรับตัวลดลงก็เกิดมาจากข่าวความพยายามกลับมาเปิดตลาดเศรษฐกิจโดยเร็วของสหรัฐฯ และทำให้นักลงทุนเชื่อว่าสหรัฐฯ ได้ผ่านพ้นช่วงที่แย่ที่สุดจากวิกฤตโควิด-19 มาแล้ว
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่าราคาทองคำยังอยู่ในเส้นทางการขึ้นไปยัง $1,800 หรืออาจจะขึ้นไปถึง $1,900 เลยก็เป็นได้ “ราคาทองคำยังคงมีแรงหนุนอยู่จากผลที่จะตามมาหลังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผ่านไปแล้ว จุดสูงสุดที่ราคาทองคำสามารถขึ้นไปแตะได้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้กลายเป็นฉากทัศน์ที่ดีที่สุดที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้และเราเชื่อว่าตลาดจะขอลองกลับขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดนั่นอีกครั้ง” - เอ็ด โมญ่า นักวิเคราะห์จากโบรกเกอร์ OANDA กล่าว