โดย Darrell Delamaide
นักลงทุนเริ่มเฉลิมฉลองอย่างมั่นใจ หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณว่าจะมีการปรับลด อัตราดอกเบี้ย ลงในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอนแล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงปรับตัวไปอยู่ในแดนบวก โดยดัชนี Nasdaq คอมโพสิต ปิดตลาดที่สถิติ 8202.53 และดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นไปสูงว่าระดับ 3000 ไปได้เป็นครั้งแรก ก่อนที่จะย่อตัวลงมาปิดที่ 2993.07
อันที่จริงแล้ว การแสดง ความคิดเห็น ของนายพาวเวลล์ปีละ 2 หนนี้ก็ถือเป็นความลำบากใจของเฟดที่จะต้องตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายเดือนนี้อย่างไรโดยไม่ให้เกิดผลกระทบกับตลาดมากนัก
เขายืนยันว่าความเสี่ยงของสภาพเศรษฐกิจที่น้อยลงนั้นยังไม่ถือว่าดีขึ้นเลยนับตั้งแต่ที่เขาเคยแนะนำให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในครั้งแรกเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงได้ตอบคำถามที่ค้างคาใจทุกคนว่าตัวเลข ปริมาณการจ้างงาน ที่ออกมาดีเกินความคาดหมายในเดือนมิถุนายนจะทำให้เฟดเปลี่ยนท่าทีดังกล่าวได้หรือไม่ และ "คำตอบแบบตรงๆ" ก็คือ “ไม่”
นายพาวเวลล์ไม่ได้ให้ความสำคัญใดๆ กับปริมาณการจ้างงานที่มีมากถึง 225,000 ตำแหน่งในเดือนที่แล้วซึ่งตลาดแรงงานที่ร้อนแรงเช่นนี้ก็น่าจะเป็นผลดีอยู่บ้าง แต่นายพาวเวลล์กล่าวว่า “ในการที่จะเรียกสิ่งไหนว่าร้อนแรง คุณจะต้องเห็นความร้อนจริงๆ เกิดขึ้นเสียก่อน”
มุมมองเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไป
สิ่งที่ประธานเฟดยอมรับก็คือ “ยังมีความเสี่ยงที่อัตราเงินเฟ้อจะแย่ลงกว่าที่คาดไว้” โดยก่อนหน้านี้นายพาวเวลล์เคยยืนยันว่าข้อมูลทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2% (เป็นเวลาเจ็ดปีแล้ว) ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยชั่วคราว
นายพาวเวลล์กล่าวว่า “คณะกรรมการ FOMC หลายคนเห็นว่ามีปัจจัยสนับสนุนให้มีการใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนปรนมากขึ้น” เมื่อพิจารณาจากการวิเคราะห์ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อและสภาพเศรษฐกิจจากการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนที่ผ่านมา
เขายังอ้างจาก รายงานการประชุม ในครั้งนั้นที่ประกาศออกมาในวันพุธว่า
“หลายคนตัดสินใจว่าควรใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติมในระยะสั้น หากพิสูจน์ได้ว่ามีการพัฒนาขึ้นได้อย่างยั่งยืนและส่งผลกับสภาพเศรษฐกิจได้จริง”
ข้อมูลที่ยังต้องจับตามองต่อไป
ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่จะประกาศเพิ่มเติมออกมาในช่วงปลายสัปดาห์นี้อย่างเช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และ ดัชนีราคาผู้ผลิต น่าจะเป็นข้อมูลที่ช่วยบอกได้ว่าดัชนีการใช้จ่ายสำหรับการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เป็นอย่างไร ส่วนตัวชี้วัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดต้องการนั้นมีกำหนดจะประกาศออกมาให้ทราบในช่วงปลายเดือนนี้
โดยทั่วไป ดัชนี PCE มักจะมีค่าต่ำกว่าดัชนี CPI ดังนั้นดัชนี CPI น่าจะต้องมีค่าเพิ่มขึ้น 2% จึงจะทำให้เฟดคลายความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่ยังต่ำได้ ซึ่งนายพาวเวลล์และคณะกรรมการต่างก็มีเหตุผลที่เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้
และเพื่อเป็นการสรุปให้ชัดเจน...
หากเฟดต้องการข้อพิสูจน์ในการพิจารณาในครั้งนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่มีค่าน้อยกว่าพันธบัตรระยะสั้นเป็นสัญญาณที่นักเศรษฐศาสตร์ใช้เป็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังเกิดการชะลอตัวนั้นได้เกิดขึ้นยาวนานมากว่า 30 วันแล้ว ก็น่าจะเป็นข้อมูลที่ดีให้กับเฟดได้
ดอกเบี้ยพันธบัตรรุ่นอายุ 3 เดือน ในปัจจุบันมีค่าสูงกว่าดอกเบี้ยพันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปี มาเป็นเวลากว่า 30 วันแล้ว โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกันอยู่ 0.259 จุดเปอร์เซ็นต์และถือว่าเป็นค่าที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 ซึ่งเป็นปีที่ตัวชี้วัดนี้สามารถทำนายได้อย่างถูกต้องว่าจะเกิดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจพร้อมกับวิกฤติการณ์ทางการเงิน
นอกจากนี้ จากการใช้โมเด็ลทางเศรษฐศาสตร์อื่นๆ ที่แตกต่างกันของธนาคารกลางสาขานิวยอร์คและคลีฟแลนด์ก็แสดงให้เห็นว่าโอกาสที่เศรษฐกิจจะเกิดการชะลอตัวเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 3 ซึ่งก็ถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมาเช่นกัน
มุมมองเชิงลบที่เพิ่มมากขึ้น
รายงานการประชุมเฟดประจำเดือนมิถุนายนชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงมุมมองเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจน่าจะกำลังเกิดขึ้น ในขณะที่คณะกรรมการหลายคนโดยทั่วไปยังคงเชื่อว่าเศรษฐกิจจะยังเติบโตต่อไปได้ รวมทั้งปริมาณการจ้างงานและอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด “แต่คณะกรรมการหลายคนก็เชื่อว่าสถานการณ์ยังไม่น่าจะสู้ดีนัก”
นายพาวเวลล์ยังมีกำหนดที่จะต้องแถลงต่อคณะกรรมาธิการด้านการเงินในวันพฤหัสบดีนี้อีกครั้ง แต่การแถลงในครั้งที่สองนี้คงไม่ทำให้เกิดผลกระทบกับตลาดได้มากเท่ากับครั้งแรก
คณะกรรมการกำหนดนโยบายทางการเงินอาจจะลำบากใจที่จะรับรองกับนายพาวเวลล์ว่าพวกเขา “จะคอยหนุนอยู่ข้างหลัง” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำจากการที่นายพาวเวลล์ไม่ทำตามคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ในเรื่องการใช้นโยบายทางการเงิน แต่ตราบใดที่นายพาวเวลล์และคณะกรรมการทุกคนยินดีที่จะเดินหน้าไปตามคำสั่งของทรัมป์ ปัจจัยอย่างอื่นก็คงจะไม่มีความจำเป็น