ผู้โดยสารการบินภายในประเทศสหรัฐโตขึ้นเรื่อยๆ ! ล่าสุดยอดทะลุ 500,000 คนต่อวันแล้ว หุ้นสายการบินยังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปู่บัฟเฟตต์พลาดไปไหม ? หมดยุคของสาย VI อย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์แล้วหรือยัง ?
Transportation Security Administration หน่วยงานด้านความปลอดภัยในการเดินทางของประเทศสหรัฐอเมริกาได้รายงานยอดตัวเลขการบินภายในประเทศสหรัฐล่าสุดกลับมาที่ 25% ของการบินปกติแล้ว ! ถือว่าเร็วมากกว่าที่คาดถึงแม้ว่าจะยังมีผู้ติดเชื้อไวรัสใหม่อยู่สูงถึงวันละ 20,000 คนต่อวัน
โดยปกตินั้นสหรัฐจะมีผู้เดินทางในประเทศเฉลี่ยวันละ 2 ล้านคนแต่หลังจากไวรัสระบาดหนักในประเทศตัวเลขนี้ได้ลดลงไปต่ำกว่าวันละ 1 แสนคนต่อวันตลอดเดือนเมษายน แต่หลังจากทางรัฐบาลทรัมป์ได้สั่งระงับการ Lock Down ในรัฐต่างๆตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ตัวเลขการบินในประเทศก็ได้ทยอยปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ (ระหว่างประเทศยังไม่สูงมากเนื่องจากยังจำกัดอย่างเคร่งครัด) จนทะลุ 5 แสนคนต่อไปวันไปในช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้
ราคาหุ้นสายการบินต่างๆในสหรัฐทยอยปรับตัวสูงขึ้น
ถึงแม้ว่าในอาทิตย์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐจะโดนเทขายอย่างหนัก แต่สายการบินต่างๆกลับเป็นกลุ่มที่ราคายังยืนได้ค่อนข้างดี และเป็นตัวนำในการดีดกลับเมื่อวันศุกร์ก่อนปิดตลาดด้วย
โดยหากเทียบจากสายการบินที่วอร์เรน บัฟเฟตต์เป็นคนขายออกจากพอร์ตไปหมดจนเป็นข่าวใหญ่เมื่อเดือนก่อนนั้น 4 สายการบินต่างๆก็ยังมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะสายการบินเหล่านี้พึ่งพารายได้จากการบินในประเทศสูง
1. United Airlines +100% จาก 20 เหรียญขึ้นมาเป็น 40 เหรียญ
รกาฟหุ้น United Airlines (NASDAQ:UAL) ( กดดูความเคลื่อนไหว )
2. American Airlines +88% จาก 9 เหรียญขึ้นมาเป็น 17 เหรียญ
กราฟหุ้น (NASDAQ:AAL) ( กดดูความเคลื่อนไหว )
3. Delta Air Lines Inc +57% จาก 19 เหรียญขึ้นมาเป็น 30.4 เหรียญ
หุ้น Delta Air lines (NYSE:DAL) ( กดดูความเคลื่อนไหว )
4. Southwest Airlines Company (NYSE:LUV) +50% จาก 24 เหรียญขึ้นมาเป็น 36 เหรียญ
กราฟหุ้น Southwest Airlines (NYSE:LUV) ( กดดูความเคลื่อนไหว )
วอร์เรน บัฟเฟตต์ตัดสินใจผิดไปไหม ที่รีบเทขายหุ้นสายการบิน ?
บัฟเฟตต์ได้ใช้คำว่า ธุรกิจสายการบินได้เปลี่ยนไปและอาจไม่กลับมาเหมือนเดิมแล้ว ในช่วงที่เทขายไป และเราคงโทษทางบัฟเฟตต์ไม่ได้เพราะสถานการณ์ในช่วงนั้นถ้ายังไม่มีวัคซีนกัน ธุรกิจสายการบินก็เป็นหนึ่งในธุรกิจที่มองออกยากว่าจะมีอนาคตเช่นไร
ทางด้านทรัมป์ผู้มีอิทธิพลในการจะเร่งหรือยืดเวลาการบินทั้งในประเทศและระหว่างประเทศได้ ได้ออกมากล่าวถึงบัฟเฟตต์ในอาทิตย์ก่อนว่า "บัฟเฟตต์อาจจะคาดการณ์ได้ถูกมาตลอดชีวิต ผมเคารพเขามาก แต่ครั้งนี้เขาทำผิดพลาดไปมากๆจริงๆ เขาควรจะเก็บหุ้นสายการบินเหล่าไว้เพราะประเทศเรากำลังจะกลับมาเปิดอย่างสวยงาม”
ถือว่าจังหวะในการขายหุ้นของบัฟเฟตต์ในครั้งนี้ค่อนข้างค้านกับจุดประสงค์ของทรัมป์เลยทีเดียว และทรัมป์อาจจะเป็นผู้ชนะในยกแรกไป
หมดยุคของวอร์เรน บัฟเฟตต์แล้วหรือยัง ?
แน่นอนว่าการที่หุ้นสายการบินต่างๆดีดขึ้นไปกว่า 50-100% นั้นทางบัฟเฟตต์คงไม่ได้เสียดาย เพราะนักลงทุนระยะยาวอย่างบัฟเฟตต์นั้นมองผลตอบแทนมากกว่านั้นหลายเท่า
แต่สิ่งที่เราควรมองในพอร์ตของบัฟเฟตต์ ตอนนี้คือเขามีเงินสดมากไปไหม ? และในพอร์ตลงทุนนั้นมีแต่บริษัทในยุคสมัยก่อนมากเกินไปหรือป่าว ?
มีนักลงทุนรายใหญ่สมัยใหม่หลายๆท่านในสหรัฐ ซึ่งแต่ละคนต่างมีความเคารพในตัวบัฟเฟตต์เป็นอย่างสูงและต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ปู่นั้นเป็นเสมือนครูในการลงทุนของพวกเขา แต่จากบทความในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ นักลงทุนเหล่านี้ต่างออกมาตั้งคำถามถึงวิธีการลงทุนของบัฟเฟตต์ว่า อาจไม่เหมาะกับยุคนี้แล้ว
ทำไมนักลงทุนสมัยใหม่จึงมองว่า หมดยุคของบัฟเฟตต์แล้ว ?
เดี๋ยวถ้ามีโอกาสจะมาเขียนบทความแยกในรายละเอียดนะครับ แต่คร่าวๆคือ
1. การถือเงินสดเยอะของบัฟเฟตต์
นักลงทุนสหรัฐต่างมองเป็นเสียงเดียวกันว่ามูลค่าตลาดหุ้นอาจจะสูงกว่าราคาที่ควรเข้าซื้อสำหรับนักลงทุนสาย VI แต่หากมองถึงปัจจัยที่ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังสูบเงินเข้ามาเรื่อยๆ ประกอบกับการที่ในโลกของเราทุกวันนี้มีช่องทางให้นักลงทุนทั่วโลกเข้ามาลงทุนในตลาดได้ง่ายขึ้นผ่านกองทุนต่างๆ ทำให้เป็นเรื่องธรรมดาที่ราคาของจะแพงกว่าทุน ถ้า Demand มีสูง
และถึงแม้ตลาดที่มีเงินไหลเข้ามาเยอะขนาดนี้จะมองได้ว่าเป็นฟองสบู่ (Bubble) แต่ตราบใดที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังพยายามที่จะประคับประคองเศรษฐกิจไปเรื่อยๆ ยังพยายามหาทางออกไม่ให้ตลาดหุ้นตก ยังไงนักลงทุนส่วนมากก็ยังจะไม่ยอมขาย
จริงอยู่ว่าตลาดคงจะมีวันที่จะหล่นลงมาอย่างหนักแน่ๆอย่างที่บัฟเฟตต์กำลังเฝ้ารออยู่ แต่นั่นต้องเป็นเมื่อธนาคารกลางหมดหนทางที่จะเยียวยาแล้ว ไม่เช่นนั้นฟองสบู่ก้อนก็ยังคงลอยไปได้เรื่อยๆ และจะไปต่ออีก 3ปี ? 5ปี ? ก็ยังไม่มีใครรู้ เพราะทาง FED เองก็จะคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปเรื่อยๆอีกอย่างน้อย 2 ปี !
จริงอยู่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุน VI คือ ความสามารถในการรอ แต่เหล่า Fund Managers ต่างๆกำลังตั้งคำถามถึงสัดส่วนเงินสดของบัฟเฟตต์ในตอนนี้
2. ในพอร์ตลงทุนของบัฟเฟตต์นั้น มีแต่บริษัทในยุคสมัยก่อนมากเกินไปหรือป่าว ?
สิ่งนึงที่น่าสนใจในเรื่องฟอร์มการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้นคือหากย้อนไปดูผลตอบแทนในการลงทุนของบัฟเฟตต์ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 1996 นั้น ถึงแม้บัฟเฟตต์จะยังทำกำไรได้เรื่อยๆ แต่บริษัท Berkshire Hathaway ของเขานั้นกลับทำกำไรได้น้อยกว่าดัชนีหุ้น S&P500 เสียอีก !
หลักๆนั้นเป็นเพราะหุ้นที่เติบโตขึ้นมาหลังๆนั้นเป็นหุ้นสาย Technology หรือ Innovation ที่เข้ามา Disrupt ธุรกิจในสมัยก่อน (Traditional Company) และแย่ง Market Share ไปในที่สุด
บัฟเฟตต์เคยพูดเสมอว่าหลักการในการลงทุนของเขานั้นง่ายมาก เขาเปรียบตลาดดั่งฟาร์มเนื้อวัวและเงินที่ผลิตจากฟาร์มนั้นคือเนื้อวัวที่ขายได้ ถ้ามีไร่ข้างๆที่อยากขายธุรกิจในราคาที่ต่ำกว่าทุนเขาก็พร้อมที่จะเข้าไปช้อนซื้อเสมอ แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วหากยังไงมนุษย์ยังต้องการที่จะบริโภคเนื้อวัว กิจการที่บัฟเฟตต์ซื้อมาก็ยังจะกำไรวันยังค่ำ
แต่.... สิ่งที่บัฟเฟตต์อาจจะไม่ได้คิดไปคือ ในสมัยนี้นั้น เนื้อวัวอาจจะไม่ต้องมาจากฟาร์มก็ได้ ! เรากำลังมีเทคโนโลยีใหม่ๆที่ทำให้เราผลิตเนื้อออกมาจากห้องทดลองก็ได้ ! เพราะฉะนั้นเนื้อเหล่านั้นอาจจะมาแย่งตลาดหรือมาทำให้ราคาพื้นฐานที่ทางบัฟเฟตต์คิดนั้นผิดไป เปรียบเสมือนกับหุ้นเทคโนโลยีที่ใครก็สามารถซื้อได้ และจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงกว่าบัฟเฟตต์ในช่วงที่ผ่านๆมา
สุดท้ายนี้ ต้องขอชี้แจงอย่างชัดเจนว่าผมไม่ได้มองว่าการลงทุนของบัฟเฟตต์นั้นล้าสมัยแล้วและยังมีความเคารพในตัวปู่อย่างสูงที่สุด
แต่ตัวเลขผลตอบแทนนั้นไม่ได้โกหก Technology และ Innovation กำลังจะเป็นสายการลงทุนใหม่ที่เข้ามาทดแทน Value Investing (VI) ให้กลายเป็น Innovation Investing (II) ก็ได้ในอนาคตนี้
บทวิเคราะห์นี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เพจ Oil Trading - ทันตลาดน้ำมันและเศรษฐกิจโลกกับ KP
....
บทความนี้ห้ามพลาด
ทำไมวอร์เรน บัฟเฟตต์ถึงไม่ช้อนซื้อหุ้นมากนักในวิกฤตครั้งนี้?
ทรัมป์บอกบัฟเฟตต์มองผิดไปอย่างมหันต์ ที่เทขายหุ้นสายการบินไปหมด