เราควรช้อนหุ้นบริษัทที่เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการแล้วหรือไม่ ?!?!
หากตั้งคำถามนี้หลายๆท่านอาจนึกถึงหุ้นของ การบินไทย (BK:THAI) เป็นอันดับแรก โดยถึงแม้บริษัทต่างๆจะเข้าสู่กระบวนการเข้าสู่การฟื้นฟูกิจการแล้ว แต่ถ้ายังอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่จะยังสามารถซื้อขายกันต่อได้อยู่ #ถ้าใครช้อนหุ้นเหล่านี้ไปแล้วแนะนำให้อ่านจนจบ นะครับ
โดยเรื่องที่น่าสนใจมีอยู่ว่าหุ้นต่างๆที่เข้าสู่กระบวนการนี้ทั้งในไทยและต่างประเทศนั้นต่างดีดขึ้นมาเรื่อยๆในปีนี้หลังเข้ากระบวนการแล้ว ! และดีดขึ้นหลายเท่าด้วย !
จากบริษัทต่างๆที่ทางเพจเราได้รายงานไป (น่าจะเป็นสื่อแรกในประเทศที่รายงาน โดยใครไม่อยากพลาดต้องตั้ง See First ครับ ) แฟนเพจทุกคนคงจำบริษัทเหล่านี้ได้
1. Hertz (NYSE:HTZ) (บริษัทเช่ารถ) หุ้นดีดขึ้นมา 5 เท่า ! จาก 1 เหรียญขึ้นไป 5 เหรียญ
2. JC Penny (ร้านค้าปลีก) หุ้นดีดขึ้นมา 3 เท่า ! จาก 0.2 เหรียญขึ้นไป 0.6 เหรียญ
3. Whiting Petroleum (ขุดเจาะน้ำมัน) หุ้นดีดขึ้นมา 4 เท่า ! จาก 0.8 เหรียญขึ้นไป 3.5 เหรียญ
เมื่อเทียบกับการบินไทยที่ราคาหุ้นดีดขึ้น 1.5 เท่าจาก 4 บาทขึ้นไป 6 บาทในตอนแรกนั้น บริษัทต่างชาติเหล่านี้ถือว่ามีราคาหุ้นที่ดีดขึ้นแรงมากกว่าหลายเท่านักหลังประกาศล้มละลาย (กราฟทั้งหมดแนบให้ในคอมเม้นท์นะครับ)
ทำไมหุ้นเหล่านี้ถึงราคาดีดขึ้นหลังประกาศเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู ?
หลักๆนั้นเป็นเพราะเมื่อบริษัทไหนก็ตามประกาศล้มละลาย มันจะเป็นข่าวที่ใหญ่ไปทั่วตลาด และได้รับความสนใจอย่างมาก ในช่วงนี้นั้นอาจมีนักลงทุนรายย่อยที่่จะเพิ่งได้ยินถึงราคาหุ้นที่ต่ำเตี้ยติดดินเหล่านี้จึงคิดที่จะเข้ามาช้อนซื้อโดยเพียงคิดว่าราคานั้น ถูกมากแล้ว และถ้าถือในระยาวผลตอบแทนน่าจะมีโอกาสขึ้นได้สูง (ส่วนใหญ่ชอบเทียบกับราคาหุ้นก่อนที่จะล้มละลาย)
แต่หลายๆคนที่เข้ามาช้อนซื้อนั้นยังไม่ทราบถึงอนาคตของธุรกิจเหล่านี้เลย... และน้อยรายมากที่จะทราบว่าธุรกิจเหล่านี้จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้จริงไหม หรือบางรายอาจจะยังไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังซื้ออะไรอยู่..
การเข้าซื้อหุ้นที่กำลังฟื้นฟูนั้นจริงๆแล้วเหมือนกับการเข้าไปซื้อกองหนี้ !
แน่นอนว่าการที่บริษัทต้องเข้าขั้นฟื้นฟูนั้นแปลว่านอกจากพื้นฐานทางธุรกิจของบริษัทจะไม่ดีแล้ว บริษัทยังมีหนี้อยู่ล้นมากจนไม่สามารถจ่ายกลับได้ หากไม่มี 2 อย่างนี้ทางเจ้าของธุรกิจเขาคงไม่จำเป็นต้องฟ้องล้มละลายหรอกใช่ไหมครับ ? ก็ยังบริหารกิจการต่อไปได้เอง
เพราะฉะนั้นการเข้าไปช้อนซื้อจึงเสี่ยงมากๆ เพราะแปลว่าคุณกำลังรับเป็นเจ้าของหนี้เหล่านี้แทน จริงอยู่ว่าหากทางบริษัทสามารถพลิกกลับมาทำกำไรได้จริงๆ มันอาจจะเป็นการซื้อได้ที่ราคาถูกมาก แต่เคสส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่แบบนั้น... ต้องดูตามธุรกิจและศึกษารายละเอียดจริงๆ
ส่วนใหญ่แล้วตามสถิติบริษัทที่เข้าการฟื้นฟูอาจจะไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้จนอาจจะต้องล้มละลายไปจริงๆ และ มูลค่าหุ้นเหล่านี้จะกลายเป็นศูนย์ ! โดยผู้ที่เป็นเจ้าหนี้บางส่วนอาจจะได้เงินคืนในส่วนที่บริษัทอาจจะพอขายทรัพย์สินมาจ่ายได้ แต่ผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของบริษัทจะไม่ได้เงินเหล่านี้เลย (ราคาหุ้นจึงกลายเป็น 0)
ทำให้การดีดขึ้นมาของราคาหุ้นในช่วงต้นโดยการซื้อของรายย่อยนั้น ส่วนมากจะเป็นโอกาสให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้อาศัยจังหวะนี้ในการเทขายหุ้นออก และหลายๆครั้งข่าวที่เป็นปัจจัยบวกต่างๆที่แสดงถึงอนาคตที่บริษัทอาจพลิกสถานการณ์กลับมาได้อย่างสดใส ที่นักลงทุนรายย่อยได้อ่านนั้น ก็อาจจะมาจากผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ต้องการจะขายหุ้นตัวเองออกก็เป็นได้ !
ดูตัวอย่างของหุ้นบริษัทต่างชาติในวันนี้
ทั้งราคาหุ้นของ Hertz, JC Penny และ Whiting Petroleum นั้น หลังจากดีดขึ้นมาสูงในอาทิตย์แรกๆ ตอนนี้ก็ต่างเริ่มโดนเทขายแล้วหลังจากแรงซื้อเก็งกำไรของรายย่อยหมดลง และมีโอกาสสูงมากที่ราคาหุ้นเหล่านี้จะกลายเป็นศูนย์ในอนาคต หากไม่สามารถพลิกแผนธุรกิจและกลับมาจ่ายหนี้อันมหาศาลได้
#การช้อนซื้อหุ้นเหล่านี้โดยไม่เข้าใจธุรกิจจริงๆเป็นสิ่งที่ควรระวังอย่างมาก
บทวิเคราะห์นี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เพจ Oil Trading - ทันตลาดน้ำมันและเศรษฐกิจโลกกับ KP
ห้ามพลาด