นักลงทุนระยะยาวที่กำลังมองหาวิธีกระจายความเสี่ยงอาจลองพิจารณาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ดูบ้างก็ได้ การลงทุนประเภทนี้เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงที่มีการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะ ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ลงอีกเพื่อรักษาการเติบโตของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เอาไว้ไม่ให้เข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนทวีความรุนแรงมากขึ้น
การถือครองหลักทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์ไว้ในพอร์ตโฟลิโอมีข้อดีหลายอย่าง เนื่องจากอสังหาริมทรัพย์มีความเกี่ยวพันกับการลงทุนทางการเงินประเภทอื่นๆ อย่างหุ้นหรือพันธบัตรต่ำมาก การเพิ่มอสังหาริมทรัพย์ไว้ในพอร์ตจะช่วยให้คุณสามารถกระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้น ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำเช่นนี้ มูลค่าอสังหาริมทรัพย์จะดีขึ้นกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ
การลงทุนกับกองทรัสต์ชั้นนำที่นำเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถมีอสังหาริมทรัพย์มาเก็บไว้ในพอร์ตของคุณได้ สำหรับการลงทุน REIT คุณไม่จำเป็นต้องใช้เงินหลายล้านดอลลาร์ เพราะสามารถเริ่มลงทุนได้โดยใช้เงินเพียง $5,000 เท่านั้น
การลงทุนกับ REIT มีข้อดีหลายอย่าง ซึ่งหนึ่งในข้อดีที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ REIT มีการบริหารโดยผู้จัดการมืออาชีพที่ทราบวิธีจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากที่สุดเป็นอย่างดี ข้อดีข้อที่สองก็คือมีกฎหมายทางภาษีที่เอื้อประโยชน์ให้กับ REIT อยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งสามารถกระจายรายได้ที่ต้องเสียภาษีออกมาเป็นรูปแบบเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้
REIT มักจะลงทุนโดยการระดมทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ รวมทั้งหุ้นกู้ระยะสั้น โดยใช้อัตราทดการลงทุนเข้าช่วยให้มีเงินลงทุนมากขึ้น
หากต้องการจะลงทุนกับ REIT จะยังทันไหม?
ตอนนี้เป็นช่วงที่เหมาะกับการลงทุนใน REIT ไหม หรือว่าตอนนี้ช้าเกินไปแล้วสำหรับนักลงทุนที่มัวแต่รีรออยู่? กองทรัสต์อสังหาริมทรัพย์ของ Vanguard (NYSE:VNQ) ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในกองทุนในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีความยืดหยุ่นสูงตัวหนึ่ง สามารถปรับตัวขึ้นได้ราว 23% ในปีนี้ เมื่อเทียบกับดัชนี S&P 500 ซึ่งให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 15%
กราฟราคา REIT ของ Vanguard
ในช่วงเดือนที่แล้ว กราฟอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรได้ทำรูปแบบ Inversion ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณการถดถอยของเศรษฐกิจที่ชัดเจนที่สุดตัวหนึ่งและเป็นสิ่งที่ถือเป็นการบังคับให้เฟดให้ต้องปรับลดดอกเบี้ยลงอีกครั้ง ได้เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นนั้น กองทรัสต์ดังกล่าวยังสามารถปรับตัวขึ้นได้มากกว่า 3% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ร่วงลงไป 4%
หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal รายงานเมื่อไม่นานมานี้ว่าแม้ว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะชะลอตัวลง REIT ก็ยังอาจจะทำผลงานได้ดีต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์เริ่มมีการบริหารจัดการตนเองได้ดีขึ้นและเริ่มไม่ต้องพึ่งพากำลังจากผู้อื่น
นายจอห์น เครสเวลล์ กรรมการผู้อํานวยการฝ่ายบริหารของบริษัท Duff & Phelps Investment Management ให้ข้อมูลในรายงานดังกล่าวด้วยว่า REIT จะพิสูจน์ตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยจริงๆ ความต้องการบ้านเช่าสำหรับครอบครัวเดี่ยว พื้นที่ในการเก็บของส่วนตัว พื้นที่สำหรับศูนย์ข้อมูล และเสาส่งสัญญาณยังมีอยู่มากและเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ REIT สามารถทำผลงานได้ดีขึ้นได้ในปีนี้
หากคุณยังไม่คุ้นเคยกับ REIT และต้องการลองลงทุนด้วยความเสี่ยงต่ำก่อน เราขอแนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมดัชนี (ETF) เช่นของ Vanguard เป็นต้น ซึ่งจะมีอัตราการลงทุนที่ต่ำเพียง 0.26% และมีผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 4.7%
อีกทางเลือกหนึ่งของการลงทุนผ่านกองทุน ETF ของ Vanguard คือกองทรัสต์ iShares Core U.S. (NYSE:USRT) ซึ่งก็จะช่วยกระจายการลงทุนไปยังบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่เป็นที่นิยมในสหรัฐฯ ปัจจุบันกองทุนนี้มีผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 4.47% ต่อปี เฉพาะในปีนี้ให้ผลตอบแทนทั้งสิ้น 21.46%
บทสรุป
ในช่วงที่ REIT กำลังได้รับความนิยมเช่นนี้ นักลงทุนควรจำไว้เสมอว่าการลงทุนใน REIT คือการลงทุนตามทิศทางของดอกเบี้ยประเภทหนึ่งนั่นเอง การคาดการณ์ว่าเฟดจะยังใช้นโยบายแบบผ่อนคลายทางการเงินในปัจจุบันอาจเกิดการพลิกผันได้ตลอดเวลา เช่น หากสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังมีความยืดหยุ่นเพียงพอ หรือเมื่อสหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกับจีนได้ ดังนั้นนักลงทุนระยะยาวก็จะไม่ต้องเสี่ยงที่จะขาดทุนหากเลือก REIT ที่มีคุณภาพและให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ