ภาพรวมตลาดลงทุนสัปดาห์นี้: ข่าวดีเกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่อาจทุบทองลงมา
- S&P 500 อยู่ห่างจากจุดสูงสุดประวัติการณ์เพียง 1% เท่านั้นในขณะที่ NASDAQ ทำสถิติจุดสูงสุดใหม่เป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
- ราคาทองคำยังคงวิ่งอยู่ใกล้กับบริเวณจุดสูงสุดประวัติการณ์เช่นเดียวกับกราฟพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังคงอยู่ ณ จุดต่ำสุด
- จับตาดอลลาร์สัปดาห์นี้อาจแข็งมูลค่าขึ้นและกดราคาทองคำให้ปรับตัวลดลงอีก
- ตลาดน้ำมันดิบยังไม่เลือกทิศทางที่ชัดเจน
สัปดาห์นี้นักลงทุนอาจจะได้สัมผัสกับความแปลกใหม่ในตลาดลงทุนหลังจากที่เราได้เห็นกันไปบ้างแล้วในช่วงก่อนปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ หุ้นกุล่มเทคโนโลยีปรับตัวลดลงเพราะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงไล่คุกคามบริษัทสัญชาติจีนไม่หยุดหย่อนในขณะที่ตัวเลขการจ้างงานฯ (NFP) สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้และส่งผลให้หุ้นของบริษัทเล็กๆ ภายในประเทศสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น
หุ้นกลุ่มเทคฯ ได้รับถูกเทขายและนักลงทุนหันไปสนใจบริษัทที่มีขนาดเล็กกว่าแต่มีอนาคต
การเดินเกมของทำเนียบขาวที่มีต่อบริษัทสัญชาติจีนถือเป็นข่าวที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นจำนวนมากในสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อวันพฤหัสบดีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งพิเศษโดยมีจุดประสงค์เพื่อแบนการใช้งาน TikTok และ WeChat ในประเทศสหรัฐอเมริกาตามมาด้วยวันศุกร์ที่มีคำสั่งคว่ำบาตรผู้นำฮ่องกงนางแครี่ แลม การกระทำทั้งหมดนี้ส่งผลให้ตลาด NASDAQ ปรับตัวลดลง
NASDAQ ในวันศุกร์มีราคาปิดต่ำลงมา 0.9% เพราะหุ้นของบริษัท 4 จตุรเทพแห่งเทคโนโลยีอย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ไมโครซอฟท์ (NASDAQ:MSFT) แอมาซอน (NASDAQ:AMZN) และกูเกิล (NASDAQ:GOOGL) ถูกเทขาย ในทางตรงกันข้ามหุ้นของกลุ่มบริษัทอย่างเช่นธนาคาร ภาคการผลิตและสินค้าอุปโภคบริโภคที่อยู่ในตลาด Russell 2000 กลับได้รับความนิยมและปรับตัวสูงขึ้น
นักลงทุนยังจำเป็นต้องจับตาดูสถานการณ์ทางการเมืองของสหรัฐฯ กันต่อไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อสรุปของนโยบายการเยียวยาเศรษฐกิจรอบที่ 2 จนถึงตอนนี้สภาคอนเกรสยังคงไม่สามารถให้คำตอบขนาดของการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดได้จนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ตัดสินใจลงนามในคำสั่งพิเศษเพื่อป้องกันการขับไล่คนออกจากที่พักและขยายระยะเวลาช่วยเหลือคนว่างงาน
ในภาพรวมแล้วดัชนีหลักทั้ง 4 ตัวอย่าง S&P 500, ดาวโจนส์, NASDAQ และ Russell 2000 ยังสามารถมีราคาปิดที่สูงขึ้นกว่าเดิมได้ ตอนนี้ S&P 500 สามารถวิ่งกลับขึ้นมาจนจะยืนเหนือระดับราคาก่อนที่โควิด-19 จะเข้าประเทศสหรัฐฯ ได้เป็นที่เรียบร้อย มีราคาปิดห่างจากจุดสูงสุดประวัติการณ์เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์เพียง 1% เท่านั้นในขณะที่ NASDAQ ยังคงขยันสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ทุกวันยกเว้นแต่เพียงวันศุกร์ของสัปดาห์ก่อนเท่านั้น
แม้ว่าจากที่เห็นในปัจจุบันเราจะคิดว่า S&P 500 อยู่แนวโน้มขาขึ้นมาตลอดตั้งแต่จุดต่ำสุดของเดือนมีนาคมแต่จริงๆ แล้วดัชนี้ S&P 500 วิ่งโดยไม่มีทิศทางที่ชัดเจนมาตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2018 แล้ว กราฟยังคงสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ และในขณะเดียวกันก็สร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิมลงมาเรื่อยๆ ในทางเทคนิคนักวิเคราะห์เรียกพฤติกรรมราคาแบบนี้ว่าการวิ่งแบบ “สามเหลี่ยมปากอ้า (Broadening Pattern)” ตามที่ได้เห็นในรูปด้านบน
ตามทฤษฎีแล้วรูปแบบพฤติกรรมราคาเช่นนี้มักเกิดที่บริเวณจุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้นซึ่งมักเป็นการชี้ให้นักลงทุนได้ทราบว่าแนวโน้มในตลาด ณ ขณะนั้นกำลังวิ่งแบบไม่มีทิศทาง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐานหรือทางเทคนิคล้วนแล้วไม่เคยมีปรากฎในหนังสือหรือตำราเล่มไหน ไม่เคยมีตำราเล่นไหนเคยระบุถึงรูปแบบสามเหลี่ยมปากอ้าที่กินเวลามากกว่า 2 ปี ไม่มีตำราเล่มไหนบอกว่าสามเหลี่ยมปากอ้าจะสามารถยืนอยู่ได้นานถึง 30 เดือน
จากภาพที่ปรากฎเรายอมรับว่าไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าหลังจากที่กราฟสามารถทะลุจุดสูงสุดล่าสุดขึ้นไปได้แล้วสิ่งใดจะเกิดขึ้นตามมา รูปแบบนี้กินเวลามายาวนานเกินไปจนนักลงทุนบางคนอาจจะหันไปใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบการวิ่งในกรอบไซด์เวย์ (ขึ้นไปชนแนวต้านสูงสุดก็ขายและลงมาชนแนวรับต่ำสุดก็ซื้อ) แต่สำหรับนักลงทุนที่เชื่อว่าขาขึ้นครั้งนี้จะเป็นแรงหนุนที่สามารถพา S&P 500 หลุดออกจากไซด์เวย์ครั้งนี้ไปได้ควรรอให้กราฟทะลุจุดสูงสุดล่าสุดขึ้นไปให้ได้ก่อน จากนั้นรอให้ราคาย่อกลับลงมาทดสอบแนวรับจากจุดสูงสุดเก่านั้นก่อนค่อยวางคำสั่งซื้อตามขึ้นไปเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เจอกันขาขึ้นหลอก
พฤติกรรมของราคาในตลาด NASDAQ ตอนนี้ก็เป็นที่น่าจับตามองเช่นเดียวกัน
จากรูปจะเห็นได้ว่ากราฟของ NASDAQ วิ่งเป็นรูปแบบ Peaks & Troughs มาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2018 แล้วซึ่งในฝั่งของ Peaks ทำได้ดีกว่าที่สามารถทะลุนจุดสูงสุดล่าสุดขึ้นไปได้อย่างชัดเจนในขณะที่ฝั่ง Troughs เราสังเกตว่าการสวิงลงมาครั้งล่าสุดไม่ได้ยกระดับจุดต่ำสุดขึ้นไปสูงขึ้นเมื่อเทียบกับจุดตั่ำสุดครั้งก่อนหน้า ที่สำคัญหากว่าพิจารณาเฉพาะ 2 Peaks กับ 1 Trough ล่าสุดจะพบว่ามีความเป็นไปได้ที่กราฟอาจจะสร้างรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) ซ้อนทับอีกที
ในขณะที่ดัชนีหลักทั้ง 2 ตัวสามารถวิ่งขึ้นต่อได้เรื่อยๆ เรากลับพบว่าดัชนีวัดความผันผวน (VIX) กลับไม่ได้ขึ้นตาม
การที่ดัชนีที่มีไว้ชี้วัดความกลัวของนักลงทุนในตลาดปรับตัวลดลงในขณะที่ดัชนีหลักๆ กำลังปรับตัวสูงขึ้นชี้ให้เห็นว่านักลงทุนในตลาดเริ่มมีความเชื่อมั่นและกำลังค่อยๆ เปิดใจให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงระยะหลังๆ หากใครได้จับตาดูตัวเลขคาดการณ์การจ้างงานนอกภาคการเกษตรจาก ADP จะเห็นได้ว่า ADP คาดการณ์ตัวเลขการจ้างงานฯ (NFP) จริงพลาดบ่อยครั้งขึ้น นี่เป็นสัญญาณบอกว่าแม้จะไม่ใช่การฟื้นตัวแบบ V-Shape แต่ก็ถือว่าเป็นการฟื้นตัวแบบช้าๆ…
- แม้ว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านตำแหน่งแต่สหรัฐฯ ยังมีคนตกงานมากถึง 13 ล้านคน
- แม้อัตราการว่างงานจะลดลงจาก 14.7% เป็น 10.2% แต่ก็หมายความว่า 1 ใน 10 ของคนอเมริกันยังไม่สามารถหางานทำได้เพราะโควิด-19
กราฟราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปียังคงวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ
จากรูปจะเห็นได้ว่ากราฟอัตราผลตอบแทนฯ ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลงและยังไม่พ้นขีดอันตรายขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของเดือนมีนาคม
สินทรัพย์สำรองอันดับหนึ่งของโลกอย่างทองคำยังคงสร้างจุดสูงสุดใหม่สูงขึ้นต่อเนื่องเช่นเดียวกันกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ไม่มีนักวิ่งคนไหนสามารถวิ่งไปได้ตลาดโดยไม่พัก ราคาทองคำ ก็เช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาเราได้เตือนนักลงทุนของเราแล้วว่าราคาทองคำในตอนนี้มีโอกาสที่จะพักตัวเมื่อไหร่ก็ได้ แท่งเทียนรูปแบบกลืนกินขาลง (Bearish Engulfing) เมื่อวันศุกร์ที่สามารถกลืนกินแท่งเทียนขาขึ้น 2 แท่งก่อนหน้าได้ภายในแท่งเดียวคือสิ่งที่ยืนยันคำเตือนของเราได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามจากการที่อินดิเคเตอร์อย่าง MACD ยังไม่ยอมตัดเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นลงมาแม้ว่าอินดิเคเตอร์อื่นๆ อย่าง RSI หรือ ROC จะสามารถเจาะแนวรับลงมาได้แล้ว เราก็ยังมองว่านี่เป็นเพียงการย่อของราคาทองคำเท่านั้น ที่สำคัญกราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงวิ่งอยู่ที่บริเวณจุดต่ำสุดในรอบ 2 ปีของตัวเอง ในความเห็นของเราดอลลาร์ยังมีโอกาสอ่อนมูลค่าลงไปอีกหากว่าท้ายที่สุดแล้วสภาคอนเกรสได้ข้อสรุปเรื่องเงินเยียวยาครั้งใหม่และเฟดยังคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ใกล้กับระดับ 0% ยิ่งเป็นไปได้ยากมากที่สถานการณ์ของสกุลเงินสำรองอันดับหนึ่งของโลกจะดีขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
ราคาน้ำมันดิบยังคงไม่สามารถขึ้นไปตามความคาดหวังของผู้บริโภคได้หลังจากที่ลงไปติดลบ -$40 ในช่วงไตรมาสที่ 1
เมื่อวันพุธราคาน้ำมันดิบสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ $43 และเป็นความพยายามของราคาน้ำมันที่ต้องการจะกลับขึ้นอยู่ในกรอบสามเหลี่ยมขาขึ้นให้ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนก่อนจะปิดแท่งก็คือกราฟกลับสร้างรูปแบบดาวตก (Shooting Star) ขึ้นมาที่บริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันและแนวโน้มขาลงก็ทำหน้าที่ด้วยการปรับตัวลดลงใน 2 แท่งที่ตามมา ที่สำคัญกว่านั้นหากพิจารณากรอบสามเหลี่ยมก่อนหน้าเป็นรูปแบบลิ่มลู่ขึ้น (Rising Wedge) แล้วแท่งดาวตกก็สามารถพิจารณาเป็นสัญญาณยืนยันของแนวโน้มขาลงได้ อินดิเคเตอร์ RSI และ MACD ยังคงส่งสัญญาณสนับสนุนขาลง สิ่งที่ต้องจับตาดูกันต่อในสัปดาห์นี้ของราคาน้ำมันดิบคือแนวรับที่บริเวณเส้นค่าเฉลี่ย 50 และ 100 วันกับเส้นเทรนด์ไลน์ขาขึ้นสีดำ
ข่าวทางเศรษฐกิจที่สำคัญประจำสัปดาห์นี้ (เวลาทั้งหมดคำนวณเป็น EDT)
วันจันทร์
10:00 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่จาก JLOT: คาดว่าจะลดลงจาก 5.397M ก่อนหน้าเหลือ 4.910M
วันอังคาร
04:30 (สหราชอาณาจักร) รายงานจำนวนคนว่างงานที่ใช้สิทธิประโยชน์จากการว่างงาน: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -28.1K เป็น 250.0K
05:00 (เยอรมัน) รายงานตัวเลขบรรยากาศทางเศรษฐกิจโดย ZEW: คาดว่าจะลดลงจาก 59.3 เป็น 58.0
08:00 (สหรัฐฯ) รายงานภาพรวมตลาดพลังงานในระยะสั้นจาก EIA
08:30 (สหรัฐฯ) ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI): คาดว่าอาจเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจาก -0.2% เป็น 0.3%
22:00 (นิวซีแลนด์) ผลการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางนิวซีแลนด์: คาดว่าจะคงที่อยู่ที่ 0.25%
วันพุธ
02:00 (สหราชอาณาจักร) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าตัวเลขเทียบไตรมาสต่อไตรมาสจะลดลงจาก -2.2% เป็น -20.9% และตัวเลขเทียบแบบปีต่อปีจะลดลงจาก -1.7% เป็น -22.5%
08:30 (สหรัฐฯ) ดัชนีราคาผู้ผลิตพื้นฐาน (Core CPI):คาดว่าจะคงที่อยู่ที่ 0.2%
10:30 (สหรัฐฯ) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง: ในสัปดาห์ที่แล้วลดลง 7.373M
20:30 (ออสเตรเลีย) รายงานตัวเลขอัตราการจ้างงาน: คาดว่าจะลดลงจาก 210.8K เป็น 40.0K
วันพฤหัสบดี
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก: สัปดาห์ที่แล้วมีตัวเลขอยู่ที่ 1,186K
22:00 (ประเทศจีน) รายงานตัวเลขผลผลิตภาคอุตสาหกรรม: คาดว่าจะลดลงจาก 4.8% เป็น 4.7%
วันศุกร์
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขยอดขายปลีกพื้นฐาน: คาดว่าจะลดลงจาก 7.3% เป็น 1.6%
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขยอดขายปลีก: ตัวเลขในพาดหัวข่าวอาจลดลงจาก 7.5% เหลือ 1.8%