หากจะพูดถึงกลุ่มธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วก็ต้องพูดถึงกลุ่มหุ้น e-commerce ที่สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่น ยิ่งไปกว่านั้นนักวิเคราะห์บางคนมองว่าจากนี้ไปในอนาคตกลุ่มธุรกิจ e-commerce จะกลายเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจในโลกใหม่ที่ถูกบีบให้เข้าสู่โลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น บริษัทที่ทำเกี่ยวกับการเปิดพื้นที่แพลตฟอร์มเป็นตัวกลางให้ผู้ซื้อและผู้ขายเข้ามาเจอกันในตลาดดูเหมือนว่าจะเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมมากที่สุด พวกเขาสามารถสร้างกำไรได้ในระยะเวลาอันสั้นในขณะที่ห้างร้านทั่วไปยังไม่สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้อย่างเต็มตัว หุ้น 3 ตัวต่อไปนี้คือบริษัทที่นักวิเคราะห์ให้ความสนใจถึงทิศทางการเติบโตในอนาคตเป็นอย่างมาก
1. Amazon
แอมะซอน (NASDAQ:AMZN) คือหนึ่งในบริษัทผู้ทำธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ที่ได้รับประโยชน์จากวิกฤตครั้งนี้มากที่สุด แอมะซอนไม่ใช่เฉพาะแหล่งขายหนังสืออีกต่อไปแต่บริษัทได้พัฒนาตัวเองให้ผู้คนเข้ามาซื้อของได้ทุกอย่างตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ยันกระดาษชำระ จากความต้องการซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น นักวิเคราะห์จึงยกให้หุ้นแอมะซอนเป็นหุ้นที่มีอนาคตและสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง
Laura Martin นักวิเคราะห์จาก Needham ได้ปรับเป้าหมายของหุ้นแอมะซอนขึ้นเป็น $3,200 เพิ่มความเป็นไปได้ให้กับขาขึ้นอีก 20% ปัจจุบันหุ้นแอมะซอนมีราคาอยู่ที่ $2734.40
ในระยะยาวมาร์ตินมองว่าหุ้นแอมะซอนมีโอกาสขึ้นถึง $4,500 ถึง $5,000 เพราะแอมะซอนมีกลยุทธ์ทางการตลาดที่มาร์ตินเรียกสิ่งนั่นว่า “มูลค่าที่ซ่อนอยู่แบบทวีคูณ” ซึ่งสิ่งนี้ช่วยให้ประสบการณ์การซื้อสินค้าจากแอมะซอนของลูกค้ามีความรู้สึกเป็นระบบนิเวศน์เดียวกันและแอมะซอนก็ยังสามารถกระจายช่องทางในการทำกำไรได้อีกด้วย
“การเพิ่มสิทธิพิเศษในการซื้อสินค้าบางประเภทจากแอมะซอนอย่างเช่นสิทธิพิเศษในการรับชมภาพยนตร์ การสตรีมเกมผ่าน Twitch การฟังเพลงหรืออื่นๆ ที่ไม่มีที่ไหนให้สิทธิพิเศษนี้ทำให้ผู้ใช้งาน Amazon Prime ไม่สามารถไปจากแอมะซอนได้” สำนักข่าว CNBC เคยวิเคราะห์ว่า 1 ผู้ใช้งานจะต้องเสียเงินให้กับแอมะซอนเป็นค่าเฉลี่ยคนละ $3,437
นักวิเคราะห์จากเจพี มอร์แกนยกให้แอมะซอนคือตัวเลือกในการลงทุนที่ดี เขากล่าวว่าวิกฤตโควิด-19 คือตัวเร่งให้มนุษย์มีความจำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะการซื้อของออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เมื่อมีจำนวนผู้ที่สามารถเข้าถึงการซื้อขายสินค้าในชีวิตประจำวันผ่านแอมะซอนมากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมหุ้นของแอมะซอนถึงได้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางภาวะวิกฤต
นักวิเคราะห์จาก Barclays เขียนในโน๊ตถึงนักลงทุนของพวกเขาว่าการลงทุนกับหุ้นแอมะซอนคือการตัดสินใจที่ชาญฉลาดแม้ว่าปัจจุบันนี้หุ้นแอมะซอนจะปรับตัวขึ้นมามากแล้วก็ตาม เฉพาะปี 2020 ก็ขึ้นมาแล้ว 40% “แม้จะมีคนถือหุ้นของแอมะซอนเยอะแล้ว แต่ผมก็ยังแนะนำให้เลือกหุ้นของแอมะซอนเอาไว้อยู่ดี”
2. Shopify
แพลตฟอร์ม e-commerce สัญชาติแคนาดา Shopify (NYSE:SHOP) คืออีกหนึ่งผู้ชนะที่สามารถเติบโตได้ในช่วงวิกฤตโรคระบาด Shopify มีเครื่องมือที่สามารถช่วยผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กให้สามารถมีที่ยืนอยู่บนสื่อออนไลน์ในช่องทางต่างๆ ได้และเฉพาะปี 2020 บริษัท Shopify สามารถเติบโตไปได้แล้วมากถึง 121% ขึ้นครองแชมป์เป็นบริษัทที่สามารถสร้างมูลค่าได้มากที่สุดในประเทศแคนาดา ล่าสุดหุ้นของ Shopify มีราคาอยู่ที่ $897
อ้างอิงข้อมูลจากนาย Mark Mahaney นักวิเคราะห์จาก RBC Capital เผยว่าเขาได้เลื่อนระดับเป้าหมายการทำกำไรของหุ้น Shopify ขึ้นจาก $825 เป็น $1000 และยังมองว่าหุ้น Shopify มีพื้นที่ให้สามารถปรับตัวขึ้นได้อีก “ยังมีอีกหลายปัจจัยที่คนมองข้ามไปเกี่ยวกับหุ้นของ Shopify ยกตัวอย่างเช่นจำนวนของรายได้ต่อปี (TAM) อัตราค่าธรรมเนียม (TRP) ค่าดำเนินการ (OM) และความสามารถในการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของความสำเร็จจาก Shopify”
จุดแข็งของ Shopify อยู่ที่การให้ความสำคัญและข้อเสนอที่ดีกับผู้ประกอบการรายเล็กและรายย่อยที่ถือว่าสร้างแรงจูงใจให้กับพ่อค้าแม่ขายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ตัวแพลตฟอร์มเองก็มีความปลอดภัยสูง มีการเก็บข้อมูลย้อนหลังเอาไว้ตลอดและมีระบบการชำระเงินที่รวดเร็วและทันสมัยซึ่งทำให้ผู้ใช้งานแพตฟอร์มมีเวลาไปจัดการกับธุรกิจตัวเองมากยิ่งขึ้น
CTO หรือหัวหน้าแผนกผู้พัฒนาด้านเทคโนโลยีของ Shopify นาย Jean-Michel Lemieux ได้เขียนลงทวีตเตอร์เมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนว่า “Shopify มียอดผู้เข้าใช้งานในทุกๆ วันเหมือนกับว่าวันนั้นเป็นวัน Black Friday” ซึ่งส่งผลให้หุ้นของ Shopify ทะยานขึ้นทันทีที่ผู้คนให้ความสนใจกับข้อความดังกล่าว
3. Sea Limited
หากคุณกำลังมองไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีโอกาสเติบโตแล้วละก็บริษัท Sea Limited (NYSE:SE) คือหนึ่งในตัวเลือกที่คุณควรพิจารณา พูดชื่อนี้ผู้อ่านอาจจะไม่คุ้นหูแต่ถ้าพูดว่าบริษัทนี้คือเจ้าของ 1 ในแพลตฟอร์มช๊อปปิ้งยักษ์ใหญ่อย่าง Shopee แล้วละก็รับรองว่าคนสมัยนี้ส่วนใหญ่รู้จักกันแทบทุกคน ความยิ่งใหญ่ของ Shopee คงไม่ต้องพูดถึงมากเพราะแพลตฟอร์มดังกล่าวสามารถก้าวขึ้นมาเป็น 1 ใน 3 ยักษ์ใหญ่แห่งวงการ e-commerce ประเทศไทยได้ภายในเวลาไม่นาน นี่ยังไม่นับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในพื้นที่แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีผู้ใช้งานรวมมากถึง 500 ล้านคน
ผลิตภัณฑ์หลักๆ ที่นำเงินเข้ามาสู่ Sea มีอยู่ 2 ผลิตภัณฑ์ หนึ่งคือแพลตฟอร์มซื้อขายของออนไลน์ที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้อย่าง Shopee และสองคือเกม Garena แพลตฟอร์ม Shopee คือพื้นที่ที่เปิดให้ผู้ประกอบการรายเล็กถึงปานกลางเข้ามาเปิดกิจการออนไลน์บนแพลตฟอร์มของบริษัท ส่วนการีนาก็มีเกมที่ทำเงินอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้วนั่นก็คือ ROV
ผลประกอบการในไตรมาสที่ 1 ของบริษัท Sea แบบปีต่อปีกระโดดขึ้นสูงถึง 58% ในขณะที่ตัวเลขยอดขายสินค้ารวมจากแพลตฟอร์ม e-commerce เพิ่มขึ้น 74% ไตรมาสล่าสุดมีผู้ใช้งานอยู่บนแพลตฟอร์มเพิ่มขึ้น 48% มีผู้สมัครสมาชิกและชำระเงินผ่าน Shopee เพิ่มขึ้น 73% คิดเป็น 36 ล้านคน ตลอดปี 2020 หุ้นของ Sea เติบโตขึ้น 160% แล้วและมีราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ $103.64