หุ้นกลุ่มร้านค้าปลีกถือเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะมีการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของปี 2019 การรายงานครั้งนี้ถือเป็นผลงานที่รวมยอดขายในช่วงเทศกาลหลักๆ ของสหรัฐฯ ในช่วงสิ้นปีมาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นแบล็ค ฟลายเดย์ วันขอบคุณพระเจ้าและคริสต์มาส
สมาคมกลุ่มการค้าที่เป็นตัวแทนค้าปลีก (NRF) รายงานว่ายอดขายในปี 2019 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2018 เพิ่มขึ้น 4.1% คิดเป็นตัวเลขผลกำไรอยู่ที่ $730.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ตัวเลขยอดขายทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์เพิ่มขึ้น 14.6% คิดเป็นตัวเลขผลกำไรอยู่ที่ $167.8 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทแอมะซอน(NASDAQ:AMZN) ซึ่งรายงานผลประกอบการไปแล้วเผยว่าบริษัทพอใจกับตัวเลขยอดขายที่สูงทะลุเพดานตัวเลขคาดการณ์ไปได้
รายชื่อหุ้นต่อไปนี้คือ 3 หุ้นร้านค้าปลีกรายใหญ่ในสหรัฐอเมริกาที่เราเชื่อว่าจะสามารถให้มอบตัวเลขผลประกอบการที่ดีแก่นักลงทุนได้
1.Walmart
เวลารายงานผลประกอบการ: 18 กุมภาพันธ์ 2020 ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด
ตั้งแต่เริ่มปี 2020 เป็นต้นมาหุ้นของวอลมาร์ต (NYSE:WMT) ปรับตัวลดลง 3% ทำผลงานได้ไม่สวยหรูนัก สาเหตุหลักมาจากความกังวลของผู้บริโภคที่มีต่อไวรัสโคโรนาที่กระทบต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อดูตัวเลขผลงานในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาพบว่าหุ้นวอลมาร์ตปรับตัวสูงขึ้น 21% เพราะการเติบโตของยอดขายผ่าน e-commerce เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันพบว่าวอลมาร์ตมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วที่สุด เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาหุ้นวอลมาร์ตมีราคาปิดอยู่ที่ $115.40 และมูลค่าทางการตลาดรวมทั้งสิ้น $327.4 ล้านเหรียญสหรัฐ
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 4 กำไรปันผลต่อหุ้นของวอลมาร์ต (EPS) จะอยู่ที่ $1.45 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในไตรมาสที่แล้วซึ่งอยู่ที่ $1.41 ในขณะที่ตัวเลขผลกำไรรวมทั้งหมดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3% แบบปีต่อปีโดยมีตัวเลขอยู่ที่ $142.71 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกเหนือจากข้อมูลตัวเลขด้านบนแล้วนักลงทุนยังจะให้ความสนใจกับตัวเลขอัตราการเติบโตในด้านของ e-commerce ซึ่งที่ผ่านมากระโดดขึ้นถึง 41% แบบปีต่อปีในไตรมาสที่ 3 ตัวเลขนี้ออกมาดีกว่ายอดขายออนไลน์ปกติเสียอีกซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 37% เมื่อเทียบเฉพาะยอดขายในไตรมาสที่ 3 แบบปีต่อปีพบว่าปรับตัวสูงขึ้น 3.2% ข้อมูลนี้สำคัญมากเพราะที่ผ่านมาวอลมาร์ตทำยอดขายในส่วนนี้สูงขึ้นติดต่อกัน 5 ปี โดยไม่มีคู่แข่งไหนสามารถเทียบเคียงได้เลย
นอกจากนี้นักลงทุนยังสนใจการพัฒนาและสร้างนวัตกรรมอื่นๆ ของวอลมาร์ตเพื่อดูว่าบริษัทจะสามารถรักษาเก้าอี้ราชาร้านขายปลีกของตัวเองไว้ได้หรือไม่เพราะปัจจุบันวอลมาร์ตกินส่วนแบ่งทางการตลาดในแง่ของผลกำไรจากวงการนี้อยู่ที่ 56% ความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงเกี่ยวกับผลกระทบจากโคโรนาไวรัสถือเป็นประเด็นที่นักลงทุนควรให้ความสนใจในช่วงนี้เป็นอย่างยิ่ง
2. Best Buy
เวลารายงานผลประกอบการ: 27 กุมภาพันธ์ 2020 ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด
เบสท์บาย (NYSE:BBY) ร้านค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคสัญชาติอเมริกันยังคงถือว่าเป็นอันดับหนึ่งของผู้ขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แม้ว่าเมื่อเทียบกับวอลมาร์ตแล้วจะถือว่าตามหลังอยู่ก็ตาม ตลอดปี 2020 ที่ผ่านมาหุ้นเบสท์บายปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 3% แต่เมื่อเทียบผลงานแบบปีต่อปีแล้วพบว่าหุ้นเบสท์บายปรับตัวสูงขึ้น 52% ปัจจุบันเบสท์บายมีมูลค่าทางการตลาดอยู่ที่ $23.200 ล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อคืนนี้หุ้นเบสท์บายมีราคาปิดอยู่ที่ $89.89 โดยที่ราคากำลังเล็งที่จะขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดตลอด 52 สัปดาห์ซึ่งอยู่ที่ $91.83
นักวิเคราะห์มองว่าในไตรมาสที่ 4 กำไรปันผลต่อหุ้นของเบสท์บาย (EPS) จะอยู่ที่ $2.75 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในไตรมาสที่แล้วซึ่งอยู่ที่ $2.72 ในขณะที่ตัวเลขผลกำไรรวมทั้งหมดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น เป็น $15,050 ล้านเหรียญสหรัฐจากตัวเลขเดิมในปีที่แล้ว $14,800 ล้านเหรียญสหรัฐ
สาเหตุที่หุ้นของเบสท์บายจะยังสามารถเติบโตต่อไปได้เชื่อว่าเป็นเพราะปริมาณความต้องการอุปกรณ์เล่นเกมต่างๆ อย่างเช่นหูฟัง เมาส์ คีย์บอร์ด นอกจากนี้แท็บเล็ตและโทรทัศน์ยังคงได้รับความสนใจเช่นกัน นักลงทุนจะให้ความสนใจกับการลงทุนพัฒนาระบบการชำระเงินและวิธีอำนวยความสะดวกของการขายออนไลน์เพราะตัวเลขยอดขายออนไลน์เฉพาะภายในประเทศเพิ่มขึ้น 15% คิดเป็นผลกำไรอยู่ที่ $1,400 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสที่ 3
ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่บ่งชี้เกี่ยวกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการแสดงความเห็นจากผู้บริหารระดับสูงถือเป็นข่าวที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ
3. Target
เวลารายงานผลประกอบการ: 3 มีนาคม 2020 ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด
หุ้นของทาร์เก็ต (NYSE:TGT) ต้องพบกันช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นเกียวกันกับวอลมาร์ตเพราะสถานการณ์แพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสที่คุกคามความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ตั้งแต่เริ่มปี 2020 เป็นต้นมาหุ้นของทาร์เก็ตปรับตัวลดลง 9% ถึงกระนั้นเมื่อดูผลงานแบบปีต่อปีแล้วพบว่าหุ้นทาร์เก็ตยังคงปรับตัวขึ้นเกือบ 65% สาเหตุเพราะการลดราคาสินค้าในช่วงเวลาที่บริษัทต้องการสร้างภาพลักษณ์และปรับปรุงร้านค้าปลีกสาขาต่างๆ ของบริษัทใหม่ ที่สำคัญทาร์เก็ตยังปรับปรุงทางเลือกการส่งสินค้าให้สามารถดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย
ปัจจุบันในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้หุ้นทาร์เก็ตมีราคาปิดอยู่ที่ $116.69 และมีมูลค่าทางการตลาดรวมทั้งสิ้นอยู่ที่ $59,100 ล้านเหรียญสหรัฐ
สาเหตุที่เราพิจารณาว่าทาร์เก็ตจะสามารถทำผลงานได้ตามเป้าและมีผลประกอบการสูงกว่าที่คาดการณ์เพราะการตลาดของทาร์เก็ตที่ถือว่ารวดเร็ว รุนแรง แต่ตรงใจลูกค้า เช่นเดียวกับเบสท์บายและวอลมาร์ตที่เรามองว่าทั้งสามตัวจะเป็นบริษัทที่ทำยอดขายได้ดีที่สุดในช่วงวันหยุดยาวในไตรมาสที่ 4 ปี 2019
นักวิเคราะห์มองว่าในไตรมาสที่ 4 กำไรปันผลต่อหุ้นของทาร์เก็ต (EPS) จะอยู่ที่ $1.65 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในไตรมาสที่แล้วซึ่งอยู่ที่ $1.53 ในขณะที่ตัวเลขผลกำไรรวมทั้งหมดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2% เป็น $23,480 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้นักลงทุนยังต้องการดูข้อมูลอัปเดตตัวเลขการเติบโตของยอดขายจากร้านขายปลีกสาขาต่างๆ ว่าทาร์เก็ตจะยังคงรักษาตัวเลขขาขึ้นที่ยอดเยี่ยมเอาไว้ได้หรือไม่ โดยภาพรวมแล้วร้านค้าปลีกสาขาต่างๆ ของทาร์เก็ตมียอดขายสูงขึ้นในไตรมาสที่ 3 เกินคาดอยู่ที่ 4.5% แต่เมื่อเทียบกับการขายออนไลน์พบว่ายอดขายออนไลน์มีตัวเลขการเติบโตสูงกว่าถึง 31%