ทำไม Bond Yield ถึงกระทบการลงทุน
“ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงแรง หลัง Bond Yield ปรับขึ้นแตะระดับ 1.6%” ข่าวนี้เป็นข่าวที่นักลงทุนให้ความสนใจในช่วงนี้ เพราะไม่เพียงแค่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ร่วงลงแรง ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ปรับตัวลงด้วยเช่นกัน ถ้ามองย้อนกลับไป การปรับขึ้นของ Bond Yield แล้วกระทบกับการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาหลายครั้ง ทำให้หลายคนคงสงสัยว่า Bond Yield คืออะไร แล้วการเปลี่ยนแปลงของ Bond Yield ส่งผลกระทบกับการลงทุนอย่างไร
ทำความรู้จักกับ Bond Yield
Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล เป็นผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวังจากการถือครองพันธบัตรรัฐบาลอายุต่างๆ สำหรับ Bond Yield ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจคือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (10-year Treasury Yield)
ทำไมตลาดหุ้นปรับตัวลง เมื่อ Bond Yield เพิ่มสูงขึ้น
เมื่อ Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ ความกังวลของนักลงทุนว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างรุนแรง
สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น หากอัตราดอกเบี้ยค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น เพราะเศรษฐกิจมีการขยายตัวที่ดี กรณีนี้ถือว่า เป็นข่าวบวกสำหรับนักลงทุน แต่เมื่อไรที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (Bond Shock) แทนที่จะสะท้อนถึงเศรษฐกิจที่เติบโตได้ดี จะเป็นตัวบั่นทอนการขยายตัวของกำไรบริษัทต่างๆ เพราะต้นทุนในการกู้ยืมเพื่อทำธุรกิจจะสูงขึ้น โดยเฉพาะกิจการกลุ่มเทคโนโลยีที่มีต้นทุนในการกู้ยืมมาใช้ในการวิจัยและพัฒนาจะมีความอ่อนไหวกับเรื่องนี้มาก ตลาด NASDAQ ที่มีหุ้นกลุ่มนี้อยู่มากจึงสะท้อนออกมาในการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เมื่อ Bond Yield เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ ในสายตาของนักลงทุน เมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้ดอกเบี้ยที่ได้รับจากการลงทุนตราสารหนี้สูงขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น หากการลงทุนหุ้นยังให้ผลตอบแทนโดยรวมไม่ต่างจากเดิม แต่การลงทุนตราสารหนี้กลับมีโอกาสได้รับดอกเบี้ยที่สูงขึ้น จึงทำให้เสน่ห์หรือความน่าสนใจของการลงทุนในตลาดหุ้นลดลงไป
สิ่งที่นักลงทุนควรทำเพื่อรับมือกับสถานการณ์ Bond Yield ปรับตัวสูงขึ้น คือ ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินว่า การปรับเพิ่มขึ้นของ Bond Yield จะส่งผลกระทบทางลบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนหรือไม่ โดยหากกำไรของบริษัทฯ ยังมีทิศทางขยายตัวในเชิงบวกไม่ลดลงจากเดิม หรือมากขึ้นจากเดิม การเพิ่มขึ้นของ Bond Yield ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล แต่เป็นตัวสะท้อนว่า เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ในทิศทางที่ดีแตกต่างจากเดิม หรือมากขึ้นจากเดิม การเพิ่มขึ้นของ Bond Yield ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล แต่เป็นตัวสะท้อนว่า เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้ในทิศทางที่ดี
อย่างไรก็ตามในภาวะปัจจุบันเราต่างทราบกันดีว่าบริษัทต่างๆทั่วโลกมีผลประกอบการที่ลดลงอย่างมากจากผลกระทบจากเศรษฐกิจตกต่ำและโรคระบาด
นอกจากนี้ตราสารหนี้ก็ได้รับผลกระทบจาก Bond Yield ด้วยเช่นกัน
Bond Yield ที่สูงขึ้น นอกจากจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นแล้ว ยังมีผลกับราคาตราสารหนี้อีกด้วย โดยปกติแล้ว อัตราดอกเบี้ยในตลาดตราสารหนี้เคลื่อนไหวสวนทางกับราคาตราสารหนี้ เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้ตราสารหนี้ที่มีอยู่เดิมมีความน่าสนใจน้อยกว่าตราสารหนี้ที่ออกใหม่ เพราะตราสารหนี้ที่ออกใหม่ให้ดอกเบี้ยที่ดีขึ้นจากเดิม ดังนั้นราคาของตราสารหนี้ฉบับเดิมจึงปรับลดลง
นอกจากนี้ เมื่อ Bond Yield ของสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลของประเทศต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นตาม (เพื่อป้องกันไม่ให้เงินลงทุนไหลออกจากประเทศของตนเองไปยังสหรัฐฯ) ส่งผลให้ราคาของตราสารหนี้ต่างๆ ปรับลดลง
เมื่ออัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลของไทยสูงขึ้นตาม Bond Yield ของสหรัฐฯ ราคาของตราสารหนี้ของไทยที่ซื้อขายกันในตลาดตราสารหนี้จึงปรับตัวลดลง ผู้ที่ลงทุนกองทุนตราสารหนี้จึงมีโอกาสพบกับสถานการณ์ที่ราคา NAV ของกองทุนปรับตัวลงในช่วงที่ Bond Yield สูงขึ้น แต่เมื่อลงทุนไประยะหนึ่งซึ่งกองทุนได้รับดอกเบี้ยจากการลงทุนตราสารหนี้เข้ามา จะช่วยให้ผลตอบแทนโดยรวมของกองทุนกลับมาเป็นบวกได้ ดังนั้นผู้ที่ลงทุนกองทุนตราสารหนี้ จึงไม่ควรตกใจหรือรีบเทขายกองทุน เมื่อ Bond Yield ปรับเพิ่มสูงขึ้น