ข่าวใหญ่วันศุกร์ที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาหักปากกานักวิเคราะห์ทุกสำนักอย่างเป็นทางการ ชนิดกลับหัวกลับหาง
เมื่อนักวิเคราะห์ประเมินว่าการประกาศการจ้างงานจะหดตัว
หรือมีคนตกงานเพิ่มอีก 8.0 ล้านราย ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ นั้นพุ่งขึ้นแตะระดับมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.7%
แต่ผลที่ประกาศออกมานั้นกลับกลายเป็นว่า การจ้างงานขยายตัวมากกว่า 2.509 ล้านราย ส่งผลให้อัตราการว่างงานแทนที่จะพุ่งขึ้น กลับพุ่งลงสู่ระดับ 13.3% เท่านั้นเอง
ซึ่งจุดที่น่าสนใจก็คือ การจ้างงานที่่ขยายตัวดีกว่าคาดครั้งนี้ นำมาโดยกลุ่ม Leisure & Hospitality หรือกลุ่มโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการปิดเมืองล่า COVID-19 มากที่สุด โดยมีการจ้างงานเพิ่มกว่า 1.2 ล้านตำแหน่ง (จากที่ปลดไปก่อนหน้านี้รวม 8.2ล้านราย)
ตามมาด้วยกลุ่มธุรกิจขนส่ง การค้า และสาธารณูปโภคที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 368,000 ราย (จากที่ปลดไป 3.1 ล้านราย)
สะท้อนให้เห็นว่าการเปิดเมืองของโดนัลด์ ทรัมป์นั้นกำลังแสดงผล ทำให้ธุรกิจและห้างร้านต่างๆ นั้นเริ่มกลับมาจ้างคน เพื่อเตรียมตัวรับการเปิดเมืองเต็มรูปแบบ
ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ วิ่งเป็นตลาดหุ้นเวียดนามอีกครั้ง ด้วยการปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2.5% ภายในวันเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น ก็เหมือน Zerohedge จะไม่อยากให้ตลาดได้ดีใจกับข่าวนี้มากเกินไป เมื่อเปิดเผยข้อมูลที่ระบุว่า หากเปรียบเทียบกันเฉพาาะเดือนพฤษภาคมนั้น
จะพบว่าเดือนพฤษภาคม 2020 ที่เพิ่งผ่านไปหมาดๆ นั้น มีการยื่นขอล้มละลายภายใต้มาตรา 11 หรือ การยื่นขอฟื้นฟูกิจการนั้นพุ่งขึ้นแตะระดับ 722 บริษัท
ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 48% เมื่อเทียบกับปี 2019 เป็นการเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนกว่า 28% และเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปี 2007 - 2009 ที่โลกเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจซับไพรม์เสียอีก
ซึ่งก็ไปสอดคล้องกับรายงานจาก Costar Group ที่ระบุว่า ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยรวมแล้วเจ้าของห้างสรรพสินค้าทั้งเล็กและใหญ่ ได้รับรายได้จากค่าเช่าเพียง 54.9% เท่านั้น
ซึ่งส่วนหนึ่งที่ได้น้อยนั้น ก็เป็นผลมาจากการที่เจ้าของห้างสรรพสินค้าเหล่านั้น มีนโยบายลดค่าเช่า หรือ หยุดการชำระให้กับผู้ประกอบการทั้งหลาย
ซึ่งหากไม่มีการลด หรือ หยุดชำระค่าเช่าแล้ว อาจจะมีกระแสการเลิกจ้าง หรือ การยื่นฟื้นฟูกิจการมากกว่านี้ก็เป็นได้
แต่ถามว่า ตลาดสนใจตัวเลขนี้มั้ย ก็ต้องบอกว่าแทบจะไม่แม้แต่น้อย จนกระทั่งเริ่มมีหลายๆ บทความออกมาให้ความเห็นกันแล้วว่า ปัจจัยพื้นฐานใช้ในการลงทุนช่วงนี้ไม่ได้ หรือถึงขั้นที่บอกว่าทฤษฎีการสะท้อนกลับ (Reflexivity Theory) นั้นใช้ไม่ได้อีกต่อไป
ซึ่งสุดท้ายแล้วนั้นทฤษฎีนี้จะใช้ไม่ได้ หรือ ใช้ได้ แค่ Excpect+Bias ยังทำงานอย่างแข็งแกร่ง เกินกว่าที่ Fundamental จะแสดงผล
อีกไม่นานตลาดน่าจะเฉลยไม่ช้าก็เร็วนี้...
#แอดลุง
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เพจ AKN Blog