ธปท. เรียกผู้ประกอบการหารือแนวทางลดเพดานดอกเบี้ย 

เผยแพร่ 29/06/2564 09:31

ธปท. เรียกผู้ประกอบการหารือแนวทางลดเพดานดอกเบี้ย คาดมีข้อสรุป ก.ค.

รายงานข่าวจากนสพ.ฐานเศรษฐกิจ (28 มิ.ย. 64) ระบุแหล่งข่าวจากสถาบันการเงินเปิดเผยว่า ธปท. เชิญสถาบันการเงินแต่ละแห่ง เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อแต่ละประเภท เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อจํานําทะเบียนรถ ซึ่งเป็นการหารือเบื้องต้นยังไม่มีข้อสรุป ส่วนใหญ่เป็น การรับทราบความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการ โดยภายในสัปดาห์นี้ผู้ประกอบการต้อง สรุปรายละเอียดเกี่ยวกับต้นทุน อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย เพื่อ ธปท. ใช้ประกอบการพิจารณา ส่วนอัตรา ปรับลด 1-2% นั้น ยังไม่มีการพูดคุย

มองประเด็นการลดเพดานดอกเบี้ยกระทบกลุ่มธนาคารค่อนข้างน้อย

เรามองว่าโอกาสในการลดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของ ธปท. อาทิ สินเชื่อ บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อจํานําทะเบียน มีค่อนข้างน้อย เนื่องจากได้มีการลดเพดาน ดอกเบี้ยของสินเชื่อต่างๆ ในปี 2563 มาแล้ว ขณะที่แนวคิดการลดเพดานดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบ ระยะยาว ขณะที่ปัจจุบันเป็นสถานการณ์ชั่วคราวซึ่งมาตรการการลดดอกเบี้ยชั่วคราว หรือการเจรจา แก้หนี้เป็นรายกลุ่มจะเหมาะสมมากกว่า ในอีกด้านหนึ่งการลดเพดานดอกเบี้ยจะส่งผลให้ ผู้ประกอบการปล่อยสินเชื่อยากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ทั้งนี้หากมีการพิจารณาปรับลดเพดานดอกเบี้ยจริง คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มธนาคารค่อนข้าง น้อย เนื่องจากสินเชื่อรายย่อยที่ไม่ใช่สินเชื่อบ้านและสินเชื่อเช่าซื้อ (ซึ่งเป็นสินเชื่อที่ไม่ได้ถูกพิจารณา ปรับลดเพดานดอกเบี้ย) มีสัดส่วนน้อยมากราว 3.5% ของสินเชื่อรวมในระบบสถาบันการเงิน อีกทั้ง ธนาคารยังปล่อยสินเชื่อต่างๆ ต่ํากว่าเพดานอยู่แล้ว ขณะที่ธุรกิจที่กระทบอาจเป็นธุรกิจบัตรเครดิต และบัตรกดเงินสด เช่น AEONTS และ KTC ที่อาจมีการปล่อยสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยใกล้เคียงกับ เพดานในสัดส่วนที่สูงกว่า

แต่สถานการณ์เศรษฐกิจยังเป็นปัจจัยกดดัน

แม้เราจะคาดว่าประเด็นการลดเพดานดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มธนาคารน้อยอย่างไม่มี นัยสําคัญ และราคาหุ้นของกลุ่มธนาคารได้ปรับตัวลงราว 6% นับตั้งแต่มีข่าวการลดเพดานดอกเบี้ย เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 64 สะท้อนปัจจัยลบจากประเด็นการลดดอกเบี้ยไปแล้ว ทําให้ Upside ของกลุ่มมี ความน่าสนใจมากขึ้น โดยเรายังเลือก Top pick คือ BBL (TP 151 baht) KBANK (BK:KBANK) (TP 158 baht) และ TISCO (TP 106 baht) อย่างไรก็ตามมองว่าการฟื้นตัวของราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารยังเป็นไปได้ ยาก เนื่องจากยังมีปัจจัยกดดัน คือ สถานการณ์การระบาดรอบใหม่ของ COVID-19 ที่ทวีความรุนแรง ขึ้น และการปรับลดคาดการณ์ GDP ของสถาบันต่างๆ โดยเฉพาะ กนง. ที่ปรับลดจากเดิมเติบโต 3% เหลือเพียง 1.8%

บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย