หุ้น IPO ตัวแรกของปี 2021 เปิดศักราชด้วยหุ้นอสังหาริมทรัพย์ นามว่า “จักรไพรศาล” หรือชื่อย่อว่า “JAK”
โดยชื่อบริษัทก็มาจากนามสกุลเจ้าของ คือ คุณวีระพันธ์ จักรไพศาล นั่นเอง
แรกเริ่มเดิมทีทำธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์มาก่อน แล้วค่อยขยับขยายมาทำอสังหาริมทรัพย์ เริ่มที่แรกคือ สระบุรี บ้านเกิด
แล้วก็เห็นโอกาสทางแถบชลบุรีว่ามีนิคมอุตสาหกรรมเยอะ พนักงานเช่า Apartment กันเดือนละ 4,000 บาท แกเลยเกิดความคิดว่างั้นเราทำ Townhouse ผ่อนเดือนละ 6,000 บาท แต่ได้เป็นเจ้าของเอง น่าจะเวิร์ค ปรากฏว่าขายดี 100 ห้อง ขายได้หมดในเวลาไม่นาน เลยมีเงินทุนมาทำโครงการอื่นต่อ
JAK เป็นอสังหาไซส์มินิ รายได้ตกปีละประมาณ 100-200 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับว่ามีโครงการให้โอนได้มากน้อยในแต่ละปี ส่วนมากเน้นเป็นแนวราบ Townhouse อาคารพาณิชย์ และบ้านเดี่ยว จับกลุ่มคนต้องการอสังหาหลังแรกๆ ในราคาไม่แพง 1-3 ล้านบาท และอยู่แถบภาคตะวันออก
จุดเด่นของ JAK คือ การมี Margin ที่สูง โดยประมาณ GPM 50% NPM 20%
เน้นสร้างแนวราบ ทำไปขายไป และทำ Focus Group กับลูกค้าเป้าหมาย ดูว่าต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร เช่น บางบ้านต้องการที่จอดรถหลายคัน ไม่ใช่ว่ามีรถเยอะ แต่เอาไว้เผื่อต่อเติมทำเป็นห้อง JAK ก็ออกแบบให้ตรงตามต้องการ อะไรแบบนี้เป็นต้น
แต่จุดอ่อน คือ ด้วยความที่เป็นบริษัทเล็ก เงินทุนน้อย ทำได้ทีละไม่กี่โครงการ ต้องรอให้ได้เงินจากการขายโครงการเก่าก่อน ถึงจะเอาไปขึ้นโครงการใหม่ได้ ทำให้บางปีขาดความต่อเนื่องของรายได้ และการเติบโตแบบเยอะๆ อาจทำไม่ได้ ต้องดูว่าเข้ามาระดมทุนแล้วจะช่วยเรื่องเงินทุนได้แค่ไหน
โครงการปัจจุบันของ JAK คือ
1.จักรไพรศาล 18 เป็นบ้านเดี่ยว townhouse มูลค่า 521 ล้านบาท
2. Fern เฟส 1 เป็นอาคารพาณิชย์ มูลค่าโครงการ 142 ล้านบาท
3. Lazio เป็นคอนโด มูลค่าโครงการ 245 ล้านบาท
4. IDYL เป็น townhouse มูลค่าโครงการ 407 ล้านบาท อันนี้เป็นกิจการร่วมทุน รับรู้รายได้ 40%
ผลประกอบการย้อนหลัง
ปี 2560 รายได้ 59 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 210,000 บาท
ปี 2561 รายได้ 215 ล้านบาท กำไรสุทธิ 47.2 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 160 ล้านบาท กำไรสุทธิ 33.8 ล้านบาท
9M62 รายได้ 144 ล้านบาท กำไรสุทธิ 31.4 ล้านบาท
9M63 รายได้ 70 ล้านบาท กำไรสุทธิ 12.6 ล้านบาท
สาเหตุที่ปี 2561-2562 รายได้เยอะ เพราะว่ามีการโอนคอนโด Lazio แต่ขายหมดไปแล้ว ทำให้ปีนี้ก็จะเหลือโอนแค่ไม่เท่าไหร่ บวกกับอาจจะกระทบกับ COVID บ้าง เรื่องของกำลังซื้อ และถ้าดูเรื่องของกำไรที่ลดลงเยอะกว่า ก็เพราะมีการใช้เงินเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์ด้วย
จากโครงการที่มีอยู่ เหลือยอดโอนประมาณ 60 ล้านบาท ทยอยเข้าตั้งแต่ Q4’63 และมียูนิตที่ยังเหลืออยู่มูลค่า ประมาณ 310 ล้านบาท ซึ่งต้องไปดูว่า ช่วงนี้ขายดีมั้ย
โครงการในอนาคตมี 3 โครงการ 1,400 ล้านบาท
1. Fern เฟส 2 เป็น townhome มูลค่า 413 ล้านบาท สร้างไป ขายไป พร้อมโอน Q1’64
2. Canna เป็น townhome และบ้านแฝด มูลค่า 422 ล้านบาท สร้างไป ขายไป พร้อมโอน Q2’64
3. Peony & Pine เป็น townhome และคอนโดแบบ Low Rise มูลค่า 587 ล้านบาท จะเริ่มก่อสร้างปีนี้ และคาดว่าจะเริ่มโอนได้ Q3’64 เป็นต้นไป
นั่นแปลว่า ต้องรอติดตาม 2 โครงการแรกว่าขายดีมั้ย แล้วจะโอนเลยหรือเปล่า ทำให้คาดการณ์รายได้ค่อนช้างลำบากว่าจะเข้ามาเยอะน้อยแค่ไหน ส่วนโครงการที่ 3 ใหญ่สุด แต่กว่าจะรับรู้ก็คงปลายปี
#IPO
-
1.45 บาท 82.7 ล้านหุ้น จำนวนค่อนข้างน้อย หลังๆ เราเห็นทรงนี้บ่อย ขายหุ้นน้อย
-
P/E 30.8 เท่า ถ้าคิดแบบ trailing P/E 4 ไตรมาส
-
P/E 13.7 เท่า ถ้าคิดจากปี 2019 (ถ้ามองว่ามีผลกระทบจาก COVID)
เงิน IPO 120 ล้านบาท
-
60 ล้านบาท พัฒนาโครงการ ซื้อที่ดิน
-
42 ล้านบาท คืนหนี้ธนาคาร
-
18 ล้านบาท เป็นเงินทุนหมุนเวียน
โดยสรุป JAK มีดีที่มาร์จิ้นสูง บริหารจัดการดี แต่โครงการเก่าขายเกือบหมดแล้ว โอนไปเยอะแล้ว โครงการใหม่กำลังจะขึ้น ยังไม่รู้ว่าจะขายดีแค่ไหน และก็เป็นแบบสร้างไปขายไป โอนไป เพราะฉะนั้นใครสนใจต้องคอยตามผลงานเป็นระยะว่าทำได้ดีแค่ไหน
เพื่อนๆ คนไหนสนใจหุ้นน้องใหม่ JAK ลองไปทำการบ้านเพิ่มเติมก่อนลงทุนกันนะครับ อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง วิตามินหุ้นให้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเท่านั้นครับ
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง Stock Vitamins - วิตามินหุ้น