ล่าสุด ดัชนี S&P 500 เพิ่งทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เกิด Pandemic ไปเมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่ผ่านมาที่ระดับดัชนี 3,508 จุด ท่ามกลางผู้ติดเชื้อรายวันที่ยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตัวเลข GDP Growth ในไตรมาส 2/2020 ที่ออกมา ก็พบว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯอาการหนักพอสมควร
ใครตามอ่านหรือฟังมุมมองของผมมา ก็จะพอรู้ว่า ผมยังมีมุมมองเชิงลบกับการลงทุนในหุ้นไทย ด้วยเพราะความสามารถในการแข่งขันที่หาย , เพราะเศรษฐกิจที่พึ่งพิงการส่งออก หรือ จะด้วยความไม่แน่นอนทางการเมือง เอาไว้ค่อยไปดูกันในบทความอื่นๆอีกที แต่โพสนี้ จะพาไปดูมุมมองตลาดหุ้นสหรัฐฯในภาพรวมให้ดูอีกรอบ เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนหลังจากนี้ไปครับ
1. บริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P 500 ประกาศผลการดำเนินงานออกมาแล้วมากกว่า 95% ความน่าสนใจคือ ยอดขาย (Sales) ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เพียงแค่ 1.87% โดยภาพรวม แต่กำไรสุทธิ (Earnings) กลับดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์มากถึง 23.08%
2. โดยหากไปดูราย Sector จะพบว่า Sector กำไรโตดีกว่าที่ประมาณการมากๆได้แต่ Consumer Service และ Telecommunication ขณะที่ Energy Sector นี่แย่หนักเลย ซึ่งก็อาจสะท้อนว่า หลังโควิด-19 เศรษฐกิจสหรัฐฯแบ่งภาพระหว่างผู้อยู่รอด กับผู้ที่ยังต้องดิ้นรนให้มันถ่างมากขึ้นไปอีก
3. ใน Component ของดัชนี S&P 500 เอาเฉพาะหุ้น Technology 5 ยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook, Amazon, Apple (NASDAQ:AAPL), Microsoft และ Alphabet ก็พบว่า มีสัดส่วนสูงถึง 50% ของ Market Cap ดัชนี
โดยหากมองผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปี 2020 จนถึงตอนนี้ ก็พบว่า หุ้นเหล่านี้นี่เอง (รวมกับหุ้น Tech อีกกลุ่มหนึ่งซึ่ง Market Cap เล็กกว่า) ที่ลากดัชนีขึ้นมา โดย YTD Performance ของ Information Technology และ Consumer Discretionary และ บวกถึง 34% และ 28% ตามลำดับ ขณะที่ Sector อื่นๆบวกไม่ถึง 10% และมีติดลบด้วยซ้ำ
4. กลับมาดู Performance ของตลาดหุ้นใน ASEAN (รวมไทย) ก็จะเจอว่า ระดับราคายังห่างจากจุดเริ่มเมื่อต้นปีอีกไม่น้อย ขณะที่จีนและสหรัฐฯ YTD ผลตอบแทนเป็นบวกไปแล้ว สาเหตุหลักๆเพราะ MSCI ASEAN มีหุ้นเทคฯคำนวนในตระกร้าแค่ 10% และถ้าเอา Telcom ออก จะเหลือแค่ 0.8% สรุปคือ เรากินบุญเก่าหมดไปนานแล้ว ขาด Growth Engine ตัวใหม่
5. เอาข้อ 1. ถึง 4. มาให้ดู ก็เพื่อจะยืนยันด้วยการให้ดูหลักฐานชัดเจนๆ หุ้นสหรัฐฯวิ่งได้ เพราะหุ้นเทคฯวิ่ง และที่หุ้นเทคฯวิ่งได้ ก็เพราะกำไรออกมาดีจริงๆ ทั้งเมื่อเปรียบเทียบกับตัวเอง หรือเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่น แม้กระทั่งเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
ดังนั้น การลงทุนหลังจากนี้ ยังไงเสีย เราก็ยังคงต้องมีหุ้นเทคฯอยู่ในพอร์ตไว้ก่อนไม่มากก็น้อย
6. ปัจจัยอีกตัวที่อยากแชร์ ก็คือ มุมมองในการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด เมื่อวันพฤหัส 27 ส.ค. ที่ผ่านมา มีการประชุมที่ Jackson Hole ปรากฏว่า มีการปรับเปลี่ยนแนวทางในการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อจากเดิม Inflation Target กำหนดไว้ที่ 2% เป็นว่า ใช้เป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ย (Average Inflation) แทน ซึ่งทำให้นักลงทุนในตลาดตีความไปว่า เราจะเห็นเงินเฟ้อเกิน 2% ได้ เฟดค่อยพิจารณาว่าหยุดนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย (Easing Policy) เพื่อหนุนตลาดแรงงานและเศรษฐกิจ
7. จากสรุปการประชุมของเฟดเอง ก็พบว่า ที่ประชุมคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อระยะยาวอีก 3 ปีข้างหน้า จะอยู่แถวๆ 1.5% ต่ำกว่าเป้าหมายพอสมควร และยิ่งเปลี่ยน Mandate เป็นใช้เงินเฟ้อเฉลี่ย แล้วชาตินี้ เฟดจะได้ขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไหร่เนี่ย??
8. ไปดู Fed Fund Futures ว่านักลงทุนคิดว่าเฟดจะทำอย่างไรกับ Fed Fund Rate ในการประชุมอีก 5 ครั้งในอนาคต ก็พบว่า นักลงทุนตอนนี้เห็นตรงกัน 100% ว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0-0.25% นี้ไปถึงอย่างน้อยๆคือ การประชุมในเดือนมี.ค. 2021 โดยตลาดไม่คิดว่า เฟดจะใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ (Negative Rate) แล้วนะครับ
9. ลองพยายามอ่านพฤติกรรมของคนสหรัฐฯ ผ่าน Google (NASDAQ:GOOGL) Mobility ที่แสดงให้เห้นว่าชาวอเมริกันมีแนวโน้มจะเดินทางไปในสถานที่ประเภทต่างๆ เช่น ร้านค้าปลีกและสันทนาการร้านขายของชำ และร้านขายยา สวนสาธารณะ สถานีขนส่ง สถานที่ทำงาน และที่อยู่อาศัยอย่างไร เมื่อเทียบกับก่อนประกาศ Lockdown
และพบว่า มีแค่สวนสาธารณะ ที่คนอเมริกันกล้าออกมาใช้ชีวิตข้างนอก ขณะที่สถานที่อื่นๆยังไม่ได้กลับมาเป็นปกติเหมือนก่อน Lockdown ดังนั้น น่าสนใจว่า Covid-19 มันเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไปแล้ว หรือแค่รอว่า วัคซีนมาเมื่อไหร่ ชีวิตปกติก่อน Lockdown ก็จะกลับมา
10. มุมมองทางเทคนิค พบว่า ดัชนี S&P 500 อยู่ใน Overbought Zone เมื่อมองผ่าน RSI ที่ขึ้นไปสูงถึง 79.26 ซึ่งเราไม่ได้เห็นมานานนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2018 ก่อนที่ปธน.ทรัมป์จะประกาศสงครามการค้ากับจีน และทำให้ S&P 500 ปรับฐานหลังจากนั้นถึง -11% ภายในระยะเวลาเดือนเดียว ใครจะซื้อตรงนี้ รอได้น่ารอ แต่ถ้าใครถือหุ้นสหรัฐฯไว้อยู่ ตอนนี้ ดัชนี S&P 500 ก็ยังยืนเหนือเส้น Moving Average 20 วัน มาตั้งแต่เดือนก.ค. ก็ถือต่อไปก่อน
Mr.Messenger รายงาน
บทความนี้ได้รับการเผยแพร่ครั้งแรกบนเพจ MrMessengerDiary