Jack Ma จาก Alibaba เห็นปัญญาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพของคนและเราไม่ควรจะกลัวในการพัฒนาเรื่องนี้ ขณะเดียวกัน Elon MuskจากTesla และ SpaceX เตือนว่า ปัญญาประดิษฐ์จะเป็นตัวอันตรายถึงขั้นจะทำลายมนุษย์ชาติ
ผู้นำระดับร็อกสตาร์ทั้งสองท่านที่มีผู้ชื่นชมทั่วโลก เสนอความเห็นและถกประเด็นนี้ในงาน World Artificial Intelligence Conference 2019 ที่เซี่ยงไฮ้ในวันที่ 29 สิงหาคม ที่ผ่านมา
Elon Musk เสนอว่าคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วมาก มีความสามารถในการคำนวณหลายอย่างเร็วกว่าคน ซึ่งจะทำให้คนดูเหมือนโง่ และคอมพิวเตอร์ก็จะถึงจุดที่ขาดความอดทน เพราะมนุษย์ช้าเกินไป เปรียบเทียบเหมือนกับ ”ยืนพูดกับต้นไม้”
Jack Ma ย้ำว่า โทรศัพท์มือถือปัจจุบันก็เหมือนกับอวัยวะสำคัญที่เราจะต้องมีติดตัวตลอดเวลา คุณประโยชน์คุ้มค่าในทุกด้านของชีวิตประจำวัน ยิ่งนับวันเรายิ่งจะพึ่งปัญญาประดิษฐ์มากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แบ่งปัญญาประดิษฐ์ เป็นสามระดับ ดังนี้
1. Narrow AI คือนวัตกรรมที่เรามีปัจจุบันนี้ โดยสมองกลจะทำตามคำสั่งของเรา ทำให้งานของเราสะดวก เร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ไม่สามารถที่จะคิดทำอย่างอื่นได้ เพราะเราไม่ได้สั่ง(โดยการเขียนโปรแกรมไว้)
2. General AI คือปัญญาประดิษฐ์มีความฉลาดเท่าคน
3. Super-intelligent AI คือสมองกลฉลาดกว่ามนุษย์
ในสังคมปัจจุบัน เรากำลังปรับตัวเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ระดับเบื้องต้น (Narrow AI) เท่านั้น ขณะที่เราได้ประโยชน์กับการจับจ่ายซื้อของทางออนไลน์และการใช้แอพต่างๆที่สร้างความสะดวก และประหยัดเวลา เราก็เจอสิ่งท้าทายมากขึ้น เช่นระยะนี้ มีข่าวว่า เทศบาลหลายเมืองทั่วอเมริกา ถูกโจมตีทางไซเบอร์ (cyber attack) ล่าสุดระบบคอมพิวเตอร์ของเทศบาล 22 แห่งในรัฐเทกซัส ถูกแทรกแซงจนใช้งานไม่ได้ และผู้ร้ายเรียกค่าไถ่ 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อปลดการล็อคข้อมูลต่างๆ
เมืองเลคซิตี้ (Lake City) รัฐฟลอริดา ยอมจ่ายกว่า 4 แสนเหรียญ (ด้วย Bit coins)เพื่อต้องการข้อมูลกลับคืนมา เพราะไม่สามารถจะบริหารเมืองได้หากระบบโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์สื่อสารโดนล็อค ขณะเดียวกันบางเทศบาลไม่ยอมจ่าย เพราะไม่ต้องการให้ผู้เรียกค่าไถ่ได้ใจ และทำเหตุการณ์อย่างนี้อีก ผู้ที่ไม่ยอมจ่ายส่วนใหญ่มีข้อมูลสำรองเก็บบันทึกไว้แบบ”โบราณ”(บนกระดาษ)
เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งและผู้ร้าย(คน)นับวันก็จะเพิ่มเล่ห์กลมากขึ้น ระบบการจัดการต่างๆแต่ละสำนักงานใช้คอมพิวเตอร์ในการทำบัญชี บุคลากร ส่งใบเก็บเรียกเงินและภาษีแทบทุกอย่าง ที่เคยใช้การจดบันทึกแบบเก่าปัจจุบันแทบไม่มีแล้ว หากข้อมูลดิจิตอลหายไปก็เป็นว่าทุกอย่างต้องเริ่มจากศูนย์
ในระดับบุคคล ผู้บริโภคโดยทั่วไปก็ให้ความไว้ใจต่อการเก็บข้อมูลของภาครัฐและภาคเอกชน การเงินการธนาคารบันทึกข้อความเอกสารต่างๆ ที่สำคัญคือ เราพึ่งปัญญาประดิษฐ์ และเชื่อว่าตัวเลขในบัญชีธนาคารที่เราฝากไว้ยังอยู่วันนี้และพรุ่งนี้
มหาวิทยาลัยในอเมริกากำลังเปิดภาคเรียนประจำปีในช่วงนี้ ในห้องเรียนจะมีนักศึกษาที่ใช้ปากกาและสมุดลดลงทุกปี ข้อมูลทุกอย่างเข้าไปในมือถือหรือคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก พฤติกรรมของเยาวชนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วมาก สังเกตการรับและให้ข้อมูลและการ”สนทนา”ระหว่างบุคคล ปัจจุบันอวัยวะที่ 33 (มือถือ)เป็นสิ่งจำเป็นมาก
เพิ่งไม่นานมานี้เอง ที่อาจารย์หลายคนห้ามนักศึกษานำโทรศัพท์มือถือเข้าห้องเรียน แต่ปัจจุบันแทบไม่มีการห้ามแล้ว
หากปัญญาประดิษฐ์สร้างความไม่สะดวก เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นห่วง แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเตือนว่าความสามารถในการคำนวณและพัฒนาของปัญญาประดิษฐ์ปัจจุบันกำลังพุ่งไปถึงจุดอันตราย เช่น การแข่งขันการผลิต และใช้อาวุธสงคราม
ผู้ที่มองโลกในแง่ดี ก็ยังมีความหวังว่า คอมพิวเตอร์ที่ฉลาดมาก จะช่วยในการป้องกันสงคราม กำจัดโรคและความยากจน และคาดหวังว่ามนุษย์จะมีความเฉลียวฉลาดแข่งกับคอมพิวเตอร์ไปด้วย
คำถามก็คือว่า เรามีทางเลือกหรือไม่ เราควรที่จะพัฒนาต่อไปและปรับตัวตามความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ หรือควรที่จะหาทางถ่วงให้ช้าลง หรือมีมาตรการควบคุมแบบรอบคอบ เรื่องนี้อาจจะเป็นกรณีของการพูดง่ายแต่ทำยาก เพราะปัจจุบันเทคโนโลยีของปัญญาประดิษฐ์ในทางปฏิบัติแล้วยากที่จะควบคุมได้หมด ทำไปแก้ไปอาจจะเป็นทางเลือกเดียว เปรียบเหมือนเมื่อเรามีนวัตกรรมสร้างรถยนต์เป็นครั้งแรกเมื่อ 134 ปีก่อน กฎหมายต่างๆก็ต้องตามมาทีหลัง มีทั้งประโยชน์และโทษ เราก็ปรับตัวตามไป
คำถามที่สำคัญต่อไปคือแล้วเมื่อใดปัญญาประดิษฐ์จะเก่งเท่าและกว่ามนุษย์ เรื่องนี้ไม่มีใครคาดการณ์ได้ ผู้เชี่ยวชาญในวงการนี้บางคนบอกว่าอีกไม่กี่ปีแต่บางคนบอกว่าอาจจะอีกหลายสิบปี สรุปแล้วคือจะเกิดขึ้นแน่ แต่เมื่อไหร่เท่านั้นเองครับ
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ของสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ThaiVI.org