สัญญาณ Inverted Yield Curve ปรากฎให้เห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเป็นปัจจัย ที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะต่อไป ส่วนบ้านเราคง ได้รับผลในเชิง Sentiment แต่ก็ยังเชื่อว่า Fund Flow ยังมีโอกาสไหลเข้า ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจไทย แม้มีอุปสรรคในการฟื้นตัว ไม่ว่าจะเป็นหนี้ สาธารณะที่ปรับขึ้นไปสูงกว่า 60% ของ GDP ทำให้การจัดสรรเม็ดเงินเพื่อ การลงทุนทำได้ยากขึ้นและอาจเป็นการระดมเงินทุนผ่าน Infrastructure fund หรือการทำโครงการแบบ PPP มากขึ้น ขณะที่หนี้ภาคครัวเรือนกว่าสูง กว่า 90% นำมาซึ่งปัญหา NPL ซึ่งอาจเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจบริหารหนี้ ปัจจัยแวดล้อมดังกล่าว น่าจะทำให้ตลาดอยู่ในภาวะที่มีUpside จำกัด
SETIndex น่าจะผันผวนทิศทางลง กรอบ 1685 – 1705 จุด พอร์ตจำลองให้ เปลี่ยนหุ้น NER (น้ำหนัก 10%) เป็น RS ซึ่งราคาหุ้น Laggard มาก สำหรับ หุ้น Top Pick เลือก AOT (BK:AOT), KBANK (BK:KBANK) และ RS
สงครามยูเครน-รัสเซีย มี Impact ต่อตลาดหุ้นน้อยลงเรื่อยๆ
แม้สถานการณ์ล่าสุดจะดูตึงเครียดขึ้น หลังทางการเมืองโอเดสซา เมืองท่าสำคัญทาง ตะวันตกเฉียงใต้ของยูเครนแจ้งว่า รัสเซียได้ยิงขีปนาวุธโจมตีระบบสาธารณูปโภคหลาย จุด อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าว ตลาดการเงินตอบสนองไปมากแล้ว ตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. 2565 ที่การเข้าปฎิบัติการทางทหารในยูเครนของรัสเซียเกิดขึ้น ส่งผลให้ตลาด การเงินของโลกแกว่งตัวผันผวนอย่างมาก ในช่วงปลายเดือน ก.พ. – ต้น มี.ค. 2565 สะท้อน สินค้าโภคภัณฑ์ปรับขึ้น เช่น น้ำมันดิบ Brent และทองคำ, Bond Yield สหรัฐ ปรับลดลง และตลาดหุ้นโลกปรับลดลง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแสดงถึงการ เคลื่อนไหวของ Fund Flow ที่ไหลจากสินทรัพย์เสี่ยง (Risk Asset) ไปยังสินทรัพย์ ปลอดภัย (Safe Haven)
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยฯสังเกตเห็นว่า นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มี.ค. 2565 เป็นต้นมา ตลาดการเงินเริ่มมีเสถียรภาพ (Stabilize) มากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นเพราะได้ดูดซับความ กังวลจากเหตุการณ์สงครามไปแล้วระดับหนึ่ง สะท้อนจากดัชนีตลาดหุ้นเริ่มปรับฟื้นตัว หลังจากปรับลงไปจุดสูงสุดในช่วงต้น มี.ค. 2565 โดยปัจจุบันตลาดหุ้นยุโรป, สหรัฐ, เอเชีย และไทย ใกล้เคียงกับระดับก่อนความขัดแย้งเพียงราว -0.5%, +8.9%, -2.5% และ -0.1% ตามลำดับ เทียบกับจุดต่ำสุด ที่ตลาดหุ้นต่างกับช่วงก่อนความขัดแย้งถึง - 11.8%, -1.3%, -8.8% และ -4.6% ตามลำดับ (เฉลี่ย -6.6%)
ดังนั้น เหตุผลดังกล่าวบ่งบอกว่าตลาดการเงินโลกเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น และได้ รับรู้ประเด็นความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนไปพอสมควรแล้ว โดยเชื่อว่าตลาดน่าจะผ่าน ช่วงที่มีความผันผวนสูงที่สุดมากแล้ว และภายหลังจากนี้ ตลาดน่าจะแกว่งทรงตัวใน ภาพรวม เพื่อรอติดตามพัฒนาการความคืบหน้าต่างๆ ของความขัดแย้งรัสเซียยูเครนต่อไป
หนี้สาธารณะไทยพุ่ง 60.17% ต่อจีดีพี มูลค่ากว่า 9.83 ล้านล้านบาท ชอบ BAM
ประเทศไทยแผชิญมรสุมหลายอย่างในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทั้งการแพร่ระบาดโควิดนอก และในประเทศ ต่อด้วยสงครามยูเครน-รัสเซียที่ทำให้เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น จึงทำให้ระดับหนี้ สาธารณะต่อ GDP ของไทยพุ่งสูงจาก 42% สู่ 60% มูลค่ากว่า 9.83 ล้านล้านบาท ซึ่งมี สัดส่วนเป็นหนี้ในประเทศกว่า 98.22% และหนี้ต่างประเทศอีก 1.78% (หากกู้เต็ม เพดาน 70% หนี้จะเพิ่มเป็น 11.44 ล้านบาท หรือกู้ได้อีก 1.6 ล้านล้านบาท)
ฝ่ายวิจัยประเมินว่า การเร่งขึ้นของหนี้สาธารณะเพื่อช่วยเยี่ยวยาวิกฤตโควิต อาจส่งผล ให้เม็ดเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และส่งเสริมการลงทุนในระยะถัดไปลดน้อยลง รวมถึง การระดมทุนจาก Sort of Fund อื่นๆ มีประสิทธิภาพลดน้อยลงไป
อีกด้านหนึ่งพบว่าหนี้ภาคครัวเรือนก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับสูงถึง 90.1% ของ GDP สร้าง ความกังวลต่อสถานะ NPL ของสถาบันการเบิน ซึ่งฝ่ายวิจัยประเมินภาพรวมกลุ่มที่ได้รับ ผลกระทบ และกลุ่มที่ได้ประโยชน์ดังนี้ เริ่มจากภาพรวมมูลหนี้ NPL (Stage 3) กลุ่มฯ (8 ธนาคาร) ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 5.26 แสนล้านบาท (NPL / Loan ที่ 3.83%) เพิ่มจาก 4.45 แสนล้านบาท (NPL / Loan ที่ 3.73%) ขณะที่สินเชื่อที่ถูกจัดชั้นเป็น Stage 2 (ค้างชำระ 30 - 90 วัน หรือความสามารถในการชำระหนี้เริ่มลดลง) อยู่ที่ประมาณ 1.07 ล้านล้านบาท (7.7% เทียบสินเชื่อ) ลดลงจาก 1.06 ล้านล้านบาท (8.3% เทียบสินเชื่อ) ณ สิ้นงวด 4Q63 (เทียบกับสิ้นปี 2563 เพราะปี 2562 ยังไม่ได้เริ่มใช้ TFRS 9) โดยการ จัดชั้นลูกหนี้ในช่วงที่ผ่านมาได้รับอานิสงค์จากมาตรการผ่อนผันการจัดชั้นลูกหนี้ของ ธปท. ซึ่ง ณ สิ้นปี 2564 กลุ่มฯ มีลูกหนี้อยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือประมาณ 1.48 ล้านล้านบาท หรือ 11% ของพอร์ตสินเชื่อ ต่ำลงจากจุดสูงสุดที่ประมาณ 30% - 40% ของสินเชื่อกลุ่มฯ ณ สิ้นงวด 2Q63 – 3Q63 ที่เป็นช่วง Lock down สำหรับแนวโน้ม NPL ช่วงปี 2565 – 66 แม้ยังเป็นขาขึ้น แต่ฝ่ายวิจัยประเมิน NPL / Loan ยังอยู่ในการ บริหารจัดการ (เป้าหมาย NPL ratio ปี 2565 ของแต่ละธนาคารปรับขึ้น 0.2% - 0.8%) เพราะมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว ที่เปิดทางให้ลูกหนี้ที่ได้รับการปรับ โครงสร้างหนี้ตามเกณฑ์ของ ธปท. (กลุ่มสีฟ้า) เช่น ลดดอกเบี้ย (กระทบ NIM แต่ ทดแทนด้วยภาระการตั้ง ECL ลดลง) ได้รับการผ่อนผันจัดชั้นไปจนถึงสิ้นปี 2566 ส่วนกลุ่มที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ เพียงขยายระยะเวลาชำระหนี้ (กลุ่มสีส้ม) จัดชั้น ตาม TFRS 9 นอกจากนี้เชื่อว่ายังคงเห็นการบริหารจัดการเชิงรุก ผ่านการ Write – off รวมถึงการขาย NPL (เป็นบวกต่อ BAM, CHAYO และ JMT) ประกอบกับกลุ่มฯ มีการ เร่งตั้งสำรองช่วงที่ผ่านมา เพื่อรองรับความเสี่ยงในกรณีที่ลูกหนี้ร่วมมาตรการไปต่อไม่ ไหว สะท้อนผ่าน Credit Cost กลุ่มฯ ปี 2563 ที่ 1.9% (สูงสุดตั้งแต่ปี 2553) และปี 2564 ที่ 1.6% หนุน Coverage Ratio ณ สิ้นปี 2564 ที่ 163.4% เทียบกับ 153% ณ สิ้นปี 2562
ทางนักวิเคราะห์พื้นฐานยังคงน้ำหนักหุ้นกลุ่มธ.พ. เท่าตลาด เนื่องจากงบดุลกลุ่มฯ ยัง ไม่สะท้อนความสามารถการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่แท้จริง ผลจากมาตรการช่วยเหลือ ลูกหนี้ อย่างไรก็ดีแนวโน้มเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะพัฒนาการด้านการเปิด ประเทศ เป็นแรงขับเคลื่อนต่อ GDP ไทย (ภาคท่องเที่ยวคิดเป็น 20% ของ GDP) บวก ต่อรายได้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เลือก KBANK(FV@B174) เพราะพอร์ตสินเชื่อ SME และสินเชื่อที่อิงกับภาคท่องเที่ยวมากสุดในกลุ่มฯ ย่อมได้รับประโยชน์จากการฟื้น ตัวของเศรษฐกิจไทยมากสุดในกลุ่มฯ ตามด้วย BBL(FV@B152) ราคาหุ้นซื้อขายที่ PBV 0.5 เท่า มองว่าไม่แพง และ TISCO(FV@B106) จากจุดเด่นด้าน Div Yield และ ROE สูงสุดในกลุ่มฯ ส่วนในอีกมุมหนึ่งของ NPL ที่เพิ่มขึ้น ก็ถือเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจรับซื้อ หนี้ หรือ สินทรัพย์ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มาบริหาร อย่าง BAM, JMT เป็นต้น
ค้นหาหุ้นเปิดเมือง Laggard สวนทางกิจกรรมเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเกิน 20% ใน 1 ปี
ย้อนกลับไปช่วง 1 ปีที่แล้ว หลายประเทศทั่วโลกยังเผชิญวิกฤตโควิด และประเทศไทย เองก็รับมือกับโควิดสายพันธ์แอลฟ่า กดดันให้กิจกรรมเศรษฐกิจชะลอลง แต่ปัจจุบัน เห็นสัญญาณที่ดีขึ้น และดีถึงขนาดที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายประเทศกลับมา เหนือโควิดปี 2019
และหากกลับมามองกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศไทย ผ่าน Google (NASDAQ:GOOGL) Mobility Trend พบว่า ปัจจุบันมีการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับช่วง 4Q64 และเพิ่มขึ้นในทุก กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งการออกจากบ้าน, ออกไปซื้อของ, ซื้อยา, ออกไปทำงาน, ออกไปที่สถานที่กลางแจ้ง สูงกว่า 20% เมื่อเที่ยบกับช่วงหลังสงกรานต์ของปี 2564 ทั้งสิ้น
ดังนั้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เด่นชัดขึ้นทั้ง QoQ และ YoY รวมถึงเริ่มเห็น Pent Up Demand ในประเทศไทย หลังยกเลิกตรวจ RT-PCR 72 ชม. ก่อนเข้าประเทศ ตั้งแต่ช่วง 1 เม.ย. 2565 น่าจะช่วยหนุนหุ้นเปิดเมืองให้ Outperform ต่อได้
นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยฯ ทำการค้นหาหุ้นขนาดใหญ่ (Fund Flow ต่างชาติมีโอกาสหนุน) อิงกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ (กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นตามลำดับ) และราคายัง Lagagard หรือให้ผลตอบแทนติดลบในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา สวนทางกลับ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น (หวังราคาหุ้นจะพลิกกลับมา Outperform ตลาดฯ ได้ ในช่วงต่อจากนี้)
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities