บทวิเคราะห์โดย Charley Blaine
S&P 500 จะเปิดสัปดาห์ด้วยราคาซื้อขายที่ต่ำกว่าระดับ 2800 จุดเพียง 2.03% ทว่าระดับดังกล่าวยังไม่ใช่ระดับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้หลังจากที่ดัชนีพุ่งขึ้นไปแตะจุดสูงสุดเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว
ความคาดหวังที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่แล้ว คือขณะนี้ SPX จะต้องมีราคาซื้อขายอยู่เหนือระดับทางจิตวิทยาและพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดครั้งใหม่แล้ว โดยดัชนี S&P เคยพุ่งขึ้นไปแตะระดับ 2,800 ถึงสี่ครั้งนับตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมจนถึง 25 กุมภาพันธ์ แต่ก็ตามมาด้วยการย่อตัวลงทุกครั้ง หากมีการขยับตัวขึ้นสูงกว่าระดับ 2,800 อาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการพุ่งทะยานที่ไกลขึ้นกว่าเดิม และเป็นไปได้ว่าอาจจะทำราคาสูงสุดครั้งใหม่ได้
แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกลับสวนทางกัน เมื่อวันศุกร์ดัชนีปิดในแดนลบ -0.21% ทำให้เป็นผลงานรายสัปดาห์ที่เลวร้ายที่สุดในปี 2019 หลังจากการปิดตัวในแดนลบห้าวันติดต่อกันทำให้ดัชนีปรับลงแล้วกว่า 2.15% อีกทั้ง Dow และ NASDAQ Composite ก็ปรับตัวลงทุกวันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้ราคาปิดดิ่งลง 2.2% และ 2.46% ตามลำดับ
ฉะนั้นเหลือความเป็นไปได้แค่ไหนที่เราจะเห็นการพุ่งขึ้นทะลุระดับราคาในสัปดาห์นี้ ลองพิจารณาดูจากการปิดตัวในแดนลบห้าวันติดต่อกันที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก อีกทั้งปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นยากไปกว่านั้นคือดัชนีค่าเฉลี่ยหลักทั้งสามดัชนีพร้อมใจกันดิ่งลงห้าวันติดต่อกัน หรืออาจนานกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ
ครั้งล่าสุดที่ปรากฎการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นคือก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2016 ประมาณ 9 วัน แต่ขาลงในครั้งนั้นตามมาด้วยการพุ่งขึ้นของ S&P ที่ทะยานขึ้นถึง 41% จนทำระดับราคาสูงสุดที่ 2,941 จุดในเดือนกันยายน โดยแรงกระตุ้นครั้งดังกล่าวมีต้นเหตุมาจากการคาดการณ์ของ Wall Street ที่คาดว่าประธานาธิบดีทรัมป์วางแผนที่จะลดภาษีธุรกิจอย่างมหาศาล
แต่สำหรับครั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากทั้งสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ คราวนี้ผลกระทบอาจออกมาในทิศทางที่แตกต่างจากครั้งก่อน
การเทขายที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว โดยส่วนมากมีสาเหตุมาจากความไม่พึงพอใจของบรรดาผู้ลงทุน อันก่อตัวจากความกังวลในสถานการณ์ทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่นอกจากจะไม่มีการเผยรายละเอียดใด ๆ แล้ว ก็ยังไม่มีใครทราบว่าข้อตกลงจะออกมาในรูปแบบใดกันแน่ แม้ว่าจะมีรายงานออกมาหลายต่อหลายครั้งว่าใกล้จะมีการสรุปข้อตกลงแล้ว ผนวกกับความกังวลด้านเศรษฐกิจเมื่อธนาคารกลางยุโรปประกาศใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในภูมิภาคยุโรป ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ รายงานการจ้างงานที่ตกต่ำลง ที่ประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ถือว่าเป็นความน่าตระหนกที่ผสมโรงเข้าไปอีก รวมทั้งข้อมูลทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่ออกมาหลายทิศทางอีกด้วย
อย่างไรก็ดี แม้ว่าข้อตกลงทางการค้าที่เป็นรูปธรรมอาจช่วยคลายความกังวลของคนหมู่มากได้ แต่แรงบวกครั้งล่าสุดที่ดันตลาดขึ้นหลังจากการดิ่งลงเมื่อช่วงเทศกาลคริสต์มาสถือว่าเป็นคนละประเด็นโดยสิ้นเชิง แรงกระตุ้นดังกล่าวกลับเพิ่ม ความผันผวน ในตลาดมากขึ้นและจะเป็นปัญหาในอนาคต
เมื่อพิจารณาจากความรวดเร็วในการฟื้นตัว นับตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ไปจนถึงจุดสูงสุดระหว่างวันในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ดัชนี Dow พุ่งขึ้นถึง 21% อีกทั้ง S&P 500 และ NASDAQ ก็พุ่งขึ้น 20% และ 23.5% ตามลำดับ โดยแต่ละดัชนีแตะระดับสูงสุดเมื่อวันจันทร์ หลังจากมีรายงานออกมาว่าข้อตกลงทางการค้ากำลังจะเสร็จสิ้นในไม่ช้า
หากเปรียบเทียบกันแล้ว S&P 500 ใช้เวลาทั้งปี 2017 กว่าจะสามารถส่งมอบขาขึ้นได้ 19%
ความเร็วในการเด้งกลับของราคาที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้เครื่องมือชี้วัดต่าง ๆ โดยเฉพาะ RSI ส่งสัญญาณเตือนว่าการฟื้นตัวครั้งนี้รุนแรงเกินไป ซึ่งเครื่องมือชี้วัดเหล่านี้มีอิทธิพลต่อโปรแกรมการซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์ที่บัดนี้กำลังครองพื้นที่ในตลาดหุ้น ด้วยการเก็บข้อมูลแรงส่งของราคาเพื่อประมวลผลและพิจารณาการเปิดสัญญาซื้อหรือขายเมื่อเงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนดไว้
ในช่วงเวลาสัปดาห์ที่ผ่านมาเกิดการแห่เปิดสัญญาขายกันอย่างมหาศาล แตในขณะเดียวกัน บรรดาหุ้นหลักที่มีผลต่อแรงกระตุ้นครั้งล่าสุดก็ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง
บริษัท Apple (NASDAQ:AAPL) อาจปรับขึ้นมาเกือบถึง 10% ในปีนี้ แต่ก็ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับราคาสูงสุดที่เคยทำไว้เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2018 $233.47 อีกราว 25% ส่วน Amazon (NASDAQ:AMZN) ยังอยู่ต่ำกว่าจากระดับราคาสูงสุด $2,050.50 ที่เคยทำไว้เมื่อวันที่ 4 กันยายนอยู่ 20% และ Facebook (NASDAQ:FB) อยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมถึง 21% จากเดิมที่เคยขึ้นไปแตะ $218.62 และ Google (NASDAQ:GOOGL) หุ้นหลักของ Alphabet (NASDAQ:GOOG) ต่ำลงเกือบ 10% จากจุดสูงสุดถึง $1,273.89 ที่เคยทำไว้เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม