คาดกำไรหดตัวกว่า 43% YoY จากส่วนแบ่งกำไร แต่ Presale ยังทรงตัวได้ดี
คาดกำไรสุทธิ 1Q63 ที่ 1.0 พันลบ (-74.7% QoQ, -42.6% YoY) หดตัวลงจาก 3 ปัจจัยหลักคือ
1) คาด ยอดโอนที่ 5.2 พันลบ. ลดลง 9% YoY จากผลกระทบของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงปลายไตรมาส
2) คาดรายได้จากธุรกิจให้เช่าหดตัวลง 13% จาก Occ. Rate ของธุรกิจโรงแรมที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือเพียงระดับ Single digit ในช่วงปลายเดือน มี.ค. 63 และ
3) ส่วนแบ่งกำไร จากบริษัทร่วมที่ลดลงจาก HMPRO ที่โดนผลกระทบจากการปิดห้างสรรพสินค้า จึงเหลือช่องทางการขาย ผ่านสื่อออนไลน์เท่านั้น
QH ที่ยอดโอนโครงการใน 1Q63 ชะลอตัว และ LHFG ที่ผลิกมาเป็นขาดทุนกว่า 709 ลบ. ใน 1Q63 (จากกำไรที่ 806 ลบ. ใน 1Q62) จากการเปลี่ยนมาตรฐานบัญชี และการตั้งสำรองพิเศษภายใต้ TFRS 9 ทำให้เราคาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมใน 1Q63 ที่ 318 ลบ. หดตัวลงกว่า 63% YoY เราคาด Presale ใน 1Q63 ที่ 5.6 พันลบ. ทรงตัว YoY จากการเปิดโครงการแนวราบใหม่ใหม่ทังสิ้น 3 โครงการ รวมมูลค่า 3.8 พันลบ. โดยมี Highlight คือ Indy Bangna-Ramkhamhaeng 2 (มูลค่า 1.4 พัน ลบ.) เป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ที่คาดทำ Take-up rate ได้โดดเด่นกว่า 60% ทังนี้บริษัทมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2563จำนวน 16 โครงการ เป็นโครงการแนวราบทั้งสิ้น โดยมีมูลค่ารวม 2.8 หมื่นลบ. (-6.9% YoY)
2Q63 เป็น Low Season ผลกระทบ COVID-19 กดดัน Presale และยอดโอน
เราคาด Presale2Q63 เป็นจุดต่ำสุดของปี จากสถานการณ์ COVID-19 ฉุดความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึง มาตรการป้องกันการแพร่ระบาด อาทิ พรก. ฉุกเฉิน ที่คาดส่งผลกระทบเชิงลบต่ออัตราเข้าเยี่ยมชม โครงการและคาดส่งผลให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจในการซื้อ โดยเฉพาะอสังหาริทมทรัพย์ในช่วงระดับราคา High-end และ Luxury อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจร่วม โดยเฉพาะ HMPRO (มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของส่วนแบ่งกำไรทั้งหมด) คงยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง เป็นอีกปัจจัยหลักที่จะกดดันผลประกอบการ ใน 2Q63 อย่างไรก็ตาม เราคาดผลประกอบการจะฟื้นตัวดีขึ้นใน 2H63 จาการมีโครงการแนวสูงที่จะแล้วเสร็จเริ่มโอนจำนวน 3 โครงการรวมมูลค่า 7.9 พันลบ. กอปรกับ ส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมที่คาดฟื้นตัว หากสถานการณ์ COVID-19 ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ บริษัทมีแผนการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าจำนวน 1แห่ง ใน USA (จากทั้งหมด 4 แห่ง) ใน 2H63 ซึ่งมีราคาทุนสุทธิเฉลี่ยที่ 3.5 พันลบ. คาดทำกำไรได้ราว 1.1 พัน ลบ. (อัตราทำกำไรที่ 30%)
เป็นหุ้นระยะยาวที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง และมี Dividend Yield สูง คงคำแนะนำ “ซื้อ”
ณ สิ้นปี 2562 LH มีเงินสดและวงเงินกู้ยืมระยะสั้นจากธนาคารที่ 8.7 พันลบ. และได้รับการจัดอันดับ TRIS credit rating สูงที่สุดในอุตสาหกรรมที่ A+/Stable กอปรกับ DE ratio ณ สิ้นปี 2562 อยู่ที่เพียง 1.1x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 1.5x ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องจึงอยู่ในระดับที่ต่ำ เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2563/64 ลง 6% และ 2% เป็น 8.1 พันลบ. และ 9.3 พันลบ. ตามลำดับ สะท้อนผลประกอบการ 1Q63 ที่อ่อนแอและผลกระทบของ COVID-19 ต่อธุรกิจหลักและส่วนแบ่งกำไร จากบริษัทร่วมใน 1H62 ราคาปิดวานนี้เทียบเท่า PER2563 ที่ 10.8x (-1.5 SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ของบริษัทที่ 12.7x) เราปรับลดราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี2563 ของ LH เป็น 8.25 บาท (SOTP Discount factor ที่ 30%) คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อมคาดเงินปันผลปี 2563/64 ที่ 0.60 บาท/หุ้น และ 0.70 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่สูงถึง 8.2% และ 9.6% ตามลำดับ
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Yuanta Securities
ดูกราฟหุ้นของ บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (BK:LH)
https://th.investing.com/equities/land---house
ดูหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยรายตัว
https://th.investing.com/equities/