การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนายังคงเป็นปัจจัยหลักที่สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปทั่วโลก การคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเป็นเช่นไรหลังจากวิกฤตครั้งนี้จบลงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในตอนนี้ แต่ท่ามกลางวิกฤติแห่งความไม่ชัดเจนนี้เรากลับพบบริษัทที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับผลกระทบหรือไม่ก็ได้รับอานิสงส์จากโควิด-19
ในบริษัทกลุ่มเทคโนโลยี ผู้ที่จะชนะคือบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์และการบริการอยู่บนโลกออนไลน์เป็นหลักเพราะนอกจากจะไม่ต้องกังวลเรื่องความเสี่ยงในการต้องสัมผัสและการเผชิญหน้ากันของพนักงานและลูกค้าแล้ว บริษัทเหล่านี้ยังสามารถได้เปรียบจากการอยู่ในโลกออนไลน์มาก่อนและสามารถเดินหน้ามอบบริการหรือผลิตภัณฑ์ถึงมือผู้บริโภคได้โดยตรงโดยที่ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องออกจากบ้านเลยแม้แต่น้อย
ในบทความนี้เราได้นำเอาข้อมูลของ 2 บริษัทยักษ์ที่ทุกคนต่างรู้จักดีกันอยู่แล้วมาแนะนำ ยิ่งไปกว่านั้นทั้ง 2 ยังเป็นบริษัทจากกลุ่ม “5 เทพหุ้นเทคฯ (FAANG)” นักวิเคราะห์พบว่าในยามวิกฤตนี้มีเพียงแต่หุ้นของแอมะซอนและเน็ตฟลิกซ์ที่ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
1. Amazon
คำพูดที่ว่า “การคัดสรรตามธรรมชาติ” สามารถใช้ได้จริงๆ ในยามวิกฤต ตอนนี้เราสามารถเห็นได้เลยว่ามีบริษัทค้าปลีกรายไหนบ้างที่ยังคงอยู่รอดและแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) ก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น ไม่เพียงแค่เป็นหนึ่งในนั้นแต่ยังโดดเด่นที่สุดและทำผลงานได้ดีที่สุด การทะยานขึ้นของหุ้นแอมะซอนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเมื่อไม่มีทางเลือกมนุษยชาติก็พร้อมแล้วที่จะปรับตัวเข้าสู่การซื้อขายออนไลน์แบบเต็มตัว
แม้ในยามเศรษฐกิจตกต่ำจะมีความเสี่ยงเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอยและอัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น เรากลับพบว่าผู้บริโภคตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ข้าวของเครื่องใช้เกี่ยวกับสุขภาพต่างๆ ผ่าน “แอมะซอน เฟรช (Amazon Fresh)”
ในสัปดาห์นี้แอมะซอนมีแผนที่จะจ้างพนักงงานเพิ่มอีก 75,000 คนเพื่อให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากที่เดือนที่แล้วพึ่งประกาศจ้างพนักงานทั้งแบบพาร์ทไทม์และเต็มเวลามากถึง 100,000 คน
นอกจากปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นในโลก e-commerce ของแอมะซอนแล้วพบว่าบริการ “Amazon Web Services” ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการทำงานผ่านระบบคลาวด์ก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเช่นกัน กลายเป็นว่าเมื่อผู้คนต้องถูกบังคับให้ทำงานอยู่บ้าน บริษัททั้งหลายก็เลือกที่จะปรับโครงสร้างพื้นฐานบริษัทให้สามารถทำงานออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น
ตอนนี้การลงทุนให้หุ้นแอมะซอนนั้นได้ผลตอบแทนมหาศาล เมื่อเทียบกับดัชนีหลักอย่าง S&P 500 แล้วพบว่าหุ้นแอมะซอนปรับตัวสูงขึ้นเกือบจะถึง 25% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ยังคงอยู่ในแดบลบ ปัจจุบันหุ้นแอมะซอนถือเป็น 1 ใน 10 ตัวที่ทำผลงานได้ดีที่สุดใน S&P
ล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมาพบว่าหุ้นแอมะซอนมีราคาปิดสูงขึ้น 1% อยู่ที่ $2307.68 ซึ่งกราฟสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดเอาไว้ได้ที่ $2,333.17 การปรับตัวขึ้นครั้งนี้ทำให้มูลค่าทางการตลาดของบริษัทแอมะซอนสามารถกลับขึ้นไปยืนเหนือตัวเลข $1 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐได้อีกครั้ง
2. Netflix
การที่มนุษยชาติต้องถูกบังคับให้ทำงานอยู่แต่ในบ้านของตนถือว่าเป็นวิกฤตที่เข้าทางบริษัทเจ้าของธุรกิจสตรีมมิ่งภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่อย่างเน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) เป็นอย่างมาก หุ้นของเน็ตฟลิกซ์สมแล้วที่ได้รับฉายาว่า “หุ้นสำหรับคนอยู่บ้าน” อย่างแท้จริงเพราะการทำงานอยู่บ้านทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงภาพยนตร์ในเน็ตฟลิกซ์ได้ง่ายขึ้น
ตลอดทั้งปีที่ผ่านมาหุ้นเน็ตฟลิกซ์ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 34% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 12% และเมื่อวานนี้หุ้นเน็ตฟลิกซ์ก็สามารถปรับตัวขึ้นไปอีก 4% สร้างจุดสูงสุดอยู่ที่ $432.50 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมา 3% มีราคาปิดอยู่ที่ $426.75
ขาขึ้นครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากปีที่แล้วที่หุ้นเน็ตฟลิกซ์ได้รับฉายาว่าเป็น 1 ใน 5 เทพหุ้นเทคฯ ที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน Pivotal บริษัทผู้เชียวชาญด้านการวิจัยได้กล่าวยกย่องบริษัทเน็ตฟลิกซ์พร้อมทั้งปรับเป้าหมายของหุ้นเน็ตฟลิกซ์ให้สูงขึ้นในปีนี้
“เราคาดการณ์ไว้ได้เลยว่าปีนี้เน็ตฟลิกซ์จะต้องได้ยอดผู้สมัครสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างที่บริษัทไม่เคยทำได้มาก่อนเมื่อวิกฤตโคโรนาบังคับให้คนต้องอยู่บ้านยิ่งขึ้น แล้วหุ้นที่ได้ชื่อว่า “หุ้นสำหรับคนอยู่บ้าน” จะไม่ได้รับผลประโยชน์จากสถานการณ์ในตอนนี้ได้อย่างไร เราเชื่อว่าก่อนสิ้นปีนี้หุ้นเน็ตฟลิกซ์จะสามารถขึ้นไปถึง $490 ได้”
“ยิ่งสถานการณ์โควิด-19 ลากยากนานเท่าไหร่ เน็ตฟลิกซ์ก็ยิ่งได้เปรียบและมีโอกาสไปถึงทั่วทุกพื้นที่ของโลกได้เร็วยิ่งขึ้น การบอกต่อกันแบบปากต่อปาก การมีภาพยนตร์ที่แยกอยู่ในโซนต่างๆ ของโลกอย่างชัดเจนยิ่งทำให้เน็ตฟลิกซ์เข้าถึงเป้าหมายได้โดยตรงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าเขาคนนั้นจะอยู่ที่ไหนก็สามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเน็ตฟลิกซ์ได้ไม่ยาก”
โดยสรุปแล้ว…
ผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโคโรนาสร้างผลกระทบให้กับบริษัทส่วนใหญ่ ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดความสูญเสียนี้อาจลากยาวไปจนจบปี 2020 อย่างไรก็ตามก็ยังมีผู้ที่ได้เปรียบจากวิกฤตครั้งนี้และสามารถทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำซึ่งแอมะซอนและเน็ตฟลิกซ์คือ 2 บริษัทที่สามารถเอาตัวรอดท่ามกลางวิกฤตครั้งนี้ได้