หลังจากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นก็ได้ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ขานรับข่าวร้ายถึงความเป็นไปได้ที่เฟดอาจดึงสภาพคล่องออกจากระบบเพื่อคานกับเงินเฟ้อที่กำลังปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ในตอนแรกเฟดตั้งใจไว้ว่าจะทำให้การจ้างงานกลับมาใกล้เคียงกับสภาพปกติให้ได้มากที่สุดก่อน และปล่อยให้อัตราเงินเฟ้อวิ่งอยู่ที่ 2% แต่การเพิ่มวงเงินเพื่อเข้าซื้อพันธบัตร ประกอบกับเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลโจ ไบเดน จึงไม่แปลกใจที่เราจะได้เห็นเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นแรงขนาดนี้ในปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าการมีสภาพคล่องสูงจะส่งผลดีต่อสภาพเศรษฐกิจที่กำลังฝืดเคือง แต่ผลข้างเคียงอีกอย่างหนึ่งก็คือผู้บริโภคที่มีรายได้เท่าเดิมจะต้องซื้อของในราคาที่แพงขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้มูลค่าของสกุลเงินนั้นๆ ด้อยค่าลงไปด้วย (เพราะเป็นของที่มีปริมาณมาก) จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เฟดต้องร่นระยะเวลาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาเร็วขึ้น จากปี 2024 กลายเป็นภายในปี 2023
การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเกิดจากนักลงทุนยังรู้สึกตกใจที่สภาพคล่องกำลังจะถูกดูดออกจากตลาดหุ้น แต่เชื่อว่าในสัปดาห์นี้นักลงทุนจะเริ่มตั้งหลักได้ และอาจทำให้ตลาดเข้าสู้ภาวะไซด์เวย์ ส่วนดอลลาร์สหรัฐคือผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากการประชุมครั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์สหรัฐทะยานขึ้นมาจาก 90.50 จุดโดยประมาณขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ 92.38 จุดและคาดว่าจะยังคงปรับตัวขึ้นต่อไปได้ ในบทความนี้เราจึงมาแนะนำกองทุน ETF ที่เชื่อว่าเหมาะกับการรับมือภาวะเงินเฟ้อที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
1. SPDR SSGA Multi-Asset Real Return ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $28.25
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $20.89 - $29.61
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 1.77%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.50% ต่อปี
กองทุน ETF SPDR® SSgA Multi-Asset Real Return (NYSE:RLY) เป็นกองทุนที่ลงทุนในกองทุน ETF อื่นที่ถือสินทรัพย์ซึ่งสามารถใช้คานความเสี่ยงกับเงินเฟ้อได้ ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ภายในประเทศ นอกประเทศ อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้นของบริษัทที่นำพลังงานธรรมชาติมาแปรรูป ฯลฯ จุดประสงค์ของกองทุนนี้มีไว้เพื่อเพิ่มมูลค่าของเงินลงทุนและการสร้างกระแสเงินสด
กองทุนนี้เริ่มต้นเทรดมาตั้งแต่วันที่ 25 เมษายนปี 2012 อ้างอิงราคามาจากดัชนี Bloomberg Barclays US Government Inflation-Linked Bond Index และ DBIQ Optimum Yield Diversified Commodity Index Excess Return สินทรัพย์ที่ RLY เลือกถือประกอบไปด้วยกลุ่มทรัพยากรธรรมชาติ 34.14% ตามด้วยกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ 24.15% กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน 22.7% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 6.09% มีสินทรัพย์รวมแล้วทั้งสิ้น $126,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในช่วงระยะเวลา 52 สัปดาห์ล่าสุด RLY ได้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 31.1% หากนับตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน RLY ทำกำไรไปแล้ว 14.5% พึ่งขึ้นทดสอบจุดสูงสุดในรอบหลายปีไปเมื่อไม่กี่วันก่อน กองทุนชื่อดังที่ RLY ถือครองเอาไว้ได้แก่ SPDR® S&P Global Natural Resources ETF (NYSE:GNR) Invesco Optimum Yield Diversified Commodity Strategy No K-1 ETF (NASDAQ:PDBC) และ SPDR® S&P Global Infrastructure ETF (NYSE:GII)
2. VanEck Vectors Real Asset Allocation ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $25.15
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $19.04 - $26.48
- เปอร์เซ็นต์การปันผล: 5.54%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.78% ต่อปี
กองทุน VanEck Vectors Real Asset Allocation (NYSE:RAAX) เป็นกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ใกล้เคียงกับ RLY ซึ่งก็คือสินทรัพย์ประเภท สินค้าโภคภัณฑ์ อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ แต่สิ่งที่ทำให้ RAAX แตกต่างออกไปจาก RLY คือกองทุนนี้เน้นลงทุนโดยอาศัยข้อมูลเชิงสถิติเป็นหลัก ไม่ได้ลงทุนโดยอ้างอิงตามความคิดเห็นของมนุษย์
RAXX เป็นกองทุนที่เริ่มเทรดในเดือนเมษายนปี 2018 ถือหุ้นของบริษัทชั้นนำ 10 แห่งคิดเป็นสัดส่วน 78.3% ส่วนอีก 9 บริษัทเป็นบริษัทขนาดเล็กและกลาง สัดส่วนของการถือครองสินทรัพย์แบ่งออกเป็นทรัพยฺ์สินที่เป็นทรัพยากร 46.69% ทรัพย์สินที่สามารถสร้างรายได้ 24.02% และสินทรัพย์ทางการเงิน 21.09%
กองทุน ETF ที่ RAXX เลือกถือครองได้แก่ Invesco Optimum Yield Diversified Commodity Strategy No K-1 ETF (NASDAQ:PDBC) Vanguard Real Estate Index Fund ETF (NYSE:VNQ) VanEck Merk Gold Trust (NYSE:OUNZ) VanEck Vectors® Energy Income ETF (NYSE:EINC) และ Global X US Infrastructure Development ETF (NYSE:PAVE)
ตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน RAXX ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 13.35% พึ่งทดสอบจุดสูงสุดในรอบหลายปีไปเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ภายใน 52 สัปดาห์สามารถคืนกำไรให้แก่นักลงทุนไปแล้ว 30.3%